กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศประชุมทางไกลกับผู้ประกอบการกลุ่มอุตสาหกรรมกาแฟ ติดตามการผลิต การค้าช่วงโควิด-19 หลังก่อนหน้าเข้าไปช่วยเตรียมความพร้อมปรับตัวสู้การค้าเสรีมาแล้ว พบร้านค้ายอดขายลด แต่สู้ด้วยการขายออนไลน์และจัดส่งถึงบ้าน ผู้ผลิตยอดขายเพิ่มตามการกักตัวอยู่บ้าน แต่ขายให้โรงแรม สายการบิน ภัตตาคารลดลง ส่วนผู้ส่งออกยังขายได้ดี หลายประเทศสนใจซื้อ
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยถึงผลการหารือร่วมกับนางวารี สดประเสริฐ นายกสมาคมกาแฟไทย นายสุขเกษม ขำทวี ที่ปรึกษาสมาคมกาแฟไทย และผู้ประกอบการสินค้ากาแฟและผลิตภัณฑ์กาแฟ ผ่านระบบการประชุมทางไกล ว่า เป็นการติดตามสถานการณ์กาแฟและผลิตภัณฑ์กาแฟของไทยในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ว่าเป็นอย่างไร ทั้งในด้านการผลิต การจำหน่าย การค้าในประเทศ และการส่งออกโดยใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) หลังจากที่ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมากรมฯ ได้ลงพื้นที่พบปะเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟในพื้นที่ทั้งภาคเหนือและภาคใต้ ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย น่าน แม่ฮ่องสอน และชุมพร รวมทั้งผู้ประกอบการกาแฟตลอดห่วงโซ่การผลิต เพื่อติดตามความพร้อมการแข่งขันกาแฟไทยในยุคการค้าเสรี รวมทั้งมีการเข้าไปช่วยแนะนำเกษตรกรและผู้ส่งออกปรับตัวโดยเน้นการรักษาคุณภาพมาตรฐานของกาแฟ ตั้งแต่การปลูก การเก็บ การคั่ว และการแปรรูป เพื่อทำให้กาแฟไทยมีความน่าเชื่อถือและได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภค และแนะนำการใช้ประโยชน์จากเอฟทีเอขยายตลาดส่งออก
การหารือครั้งนี้ ผู้ประกอบการร้านกาแฟเห็นว่ามาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมส่งผลให้ยอดขายลดลง จึงจำเป็นต้องปรับรูปแบบการให้บริการเป็นการขายแบบออนไลน์และแบบดีลิเวอรีมากขึ้น รวมทั้งปรับเปลี่ยนสินค้าให้อยู่ในรูปแบบกาแฟพร้อมดื่ม ซึ่งสามารถสั่งซื้อและเก็บไว้ได้นานขึ้น รวมถึงปรับผังที่นั่งในร้านให้มีระยะห่างที่เหมาะสมเพื่อรองรับการเปิดบริการหลังผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์
ส่วนผู้ประกอบการโรงคั่วกาแฟและผู้ผลิตกาแฟสำเร็จรูปให้ข้อมูลว่า สินค้ากาแฟสำเร็จรูป 3 in 1 กาแฟคั่วบด กาแฟแคปซูล และอุปกรณ์ชงกาแฟ ที่จำหน่ายในห้างสรรพสินค้าและทางออนไลน์ มียอดจำหน่ายเพิ่มขึ้นจากการที่คนกักตัวอยู่บ้านมากขึ้น ขณะที่กลุ่มลูกค้าที่เคยซื้อในปริมาณมาก เช่น โรงแรม ภัตตาคาร และสายการบิน มียอดขายลดลง เนื่องจากต้องปิดกิจการในช่วงนี้
สำหรับผู้ส่งออกสินค้ากาแฟสำเร็จรูปแจ้งว่า ได้รับการติดต่อจากประเทศผู้นำเข้าที่สนใจซื้อผลิตภัณฑ์กาแฟจากไทย เนื่องจากหลายประเทศผลิตกาแฟสำเร็จรูปลดลง ในขณะที่ไทยสามารถผลิตได้ แม้ในช่วงวิกฤต ทำให้ไทยส่งออกผลิตภัณฑ์กาแฟได้มากขึ้น ขณะเดียวกันรสนิยมของผู้บริโภคเริ่มมีความหลากหลายมากขึ้น รวมทั้งสนใจบริโภคกาแฟคั่วที่มีส่วนผสมของเมล็ดกาแฟจากไทยกับต่างประเทศ จึงเป็นโอกาสที่ไทยจะพิจารณาปรับปรุงกฎระเบียบส่งออก เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการ และผู้ส่งออกกาแฟคั่วผสม
ปัจจุบันไทยเป็นผู้ส่งออกกาแฟสำเร็จรูปอันดับที่ 11 ของโลก ในปี 2562 ไทยส่งออกปริมาณ 24,812 ตัน มูลค่า 92.34 ล้านเหรียญสหรัฐ ตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ สปป.ลาว สัดส่วน 26% พม่า 24% และกัมพูชา 20% โดยไทยได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีในการส่งออกกาแฟสำเร็จรูป ภายใต้ความตกลงการค้าเสรีอาเซียนที่ 0% และนำเข้าเมล็ดกาแฟดิบ 5% มีแหล่งนำเข้าสำคัญ เช่น เวียดนาม สปป.ลาว และอินโดนีเซีย ส่วนไตรมาสแรกปี 2563 (ม.ค.-มี.ค.) ไทยส่งออกกาแฟสำเร็จรูปปริมาณ 6,606 ตัน มูลค่า 25.19 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 14.69% โดยไทยยังส่งออกไปตลาดรอง เช่น ฮ่องกง และสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นถึง 28% และ 88% ตามลำดับ