PTTGC เผยผลการดำเนินงานไตรมาส 1/63 ขาดทุนสุทธิ 8,784 ล้านบาท คาดแนวโน้มตลาดและธุรกิจในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ประเมินราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยอยู่ที่ 30-38 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ท่ามกลางความไม่แน่นอนการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ขณะที่ส่วนต่างราคาน้ำมันดิบกับน้ำมันดีเซลที่ 11-12 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล พร้อมทั้งปรับแผนลดการผลิตน้ำมันอากาศยานจากความต้องการใช้ที่ลดลงทำให้คาดว่าทั้งปี 63 จะมีอัตราการใช้กำลังการกลั่น 97%
นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 1/63 ว่า บริษัทขาดทุนสุทธิ 8,784 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 6,442.65 ล้านบาท เป็นผลจากรายได้การขายที่ลดลง และมาร์จิ้นธุรกิจปิโตรเคมีลดลง ประกอบกับราคาน้ำมันดิบดูไบปรับลดลงมากในสิ้นไตรมาส ส่งผลให้ขาดทุนสต๊อกรวม 8,906 ล้านบาท รวมถึงยังมีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนอีก 2,193 ล้านบาทกระทบต่อผลประกอบการ เป็นผลจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงอย่างรวดเร็ว โรงกลั่นและโรงปิโตรเคมีในบางประเทศได้ลดกำลังการผลิตลงเพื่อตอบสนองความต้องการทางผลิตภัณฑ์ที่หายไปจากมาตรการต่างๆ ที่หลายประเทศใช้เพื่อการสกัดการแพร่ระบาดของไวรัสนี้ ซึ่งคาดการณ์ว่าความต้องการการใช้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ จะค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นในครึ่งปีหลัง
บริษัทคาดการณ์แนวโน้มตลาดน้ำมันในครึ่งปีหลังว่าราคาน้ำมันดิบดูไบจะอยู่ที่ค่าเฉลี่ย 30-38 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล โดยสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ได้มีการคาดการณ์ถึงการเติบโตของความต้องการใช้น้ำมันของโลก (ณ เดือน เม.ย. 63) ในปี 63 อยู่ที่ระดับ 90.5 ล้านบาร์เรล/วัน หรือลดลง 9.3 ล้านบาร์เรล/วัน จากปริมาณความต้องการใช้ในปีที่ผ่านมา ซึ่งลดจากการประเมินในไตรมาสก่อนถึง 7 ล้านบาร์เรล/วัน อย่างไรก็ดี จากตลาดน้ำมันดิบในครึ่งปีหลังนี้ยังมีความไม่แน่นอนจากการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโดยเฉพาะตามเมืองใหญ่ๆ ซึ่งอาจมีความยืดเยื้อจนส่งผลกระทบต่อสภาวะเศรษฐกิจของโลกจะเป็นปัจจัยกดดันราคาน้ำมันได้
สำหรับผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม บริษัทคาดว่าราคาและส่วนต่างราคาของผลิตภัณฑ์ในครึ่งปีหลังจะได้รับปัจจัยกดดันจากสถานการณ์ข้างต้น ส่งผลให้ความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์น้ำมันต่างๆ โดยเฉพาะน้ำมันอากาศยาน และน้ำมันแก๊สโซลีนลดลง แต่มีแนวโน้มความต้องการจะปรับตัวดีขึ้นในครึ่งปีหลัง ส่งผลให้ส่วนต่างราคาน้ำมันดีเซลกับน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยครึ่งปีหลังจะอยู่ที่ 11-12 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
ขณะที่ส่วนต่างราคาน้ำมันเตากำมะถันต่ำ (Low Sulfur Fuel Oil : LSFO) กับน้ำมันดิบดูไบครึ่งปีหลังจะอยู่ที่ 11-12 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และความต้องใช้น้ำมันเตาเกรดกำมะถันสูง (High Sulfur Fuel Oil: HSFO) ยังคงลดลง โดยคาดการณ์ส่วนต่างราคา HSFO กับน้ำมันดิบดูไบครึ่งปีหลังอยู่ที่ -5 ถึง -4 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ขณะที่น้ำมันแก๊สโซลีนยังได้รับปัจจัยกดดันจากระดับสินค้าคงคลังที่สูงและปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากโรงกลั่นในภูมิภาคอเมริกาเหนือ คาดการณ์ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ครึ่งปีหลังอยู่ที่ 7-8 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
ทั้งนี้ บริษัทได้มีแผนการดำเนินการในการปรับลดการผลิตน้ำมันอากาศยานที่มีแนวโน้มอุปสงค์ที่ปรับตัวลดลงจากสถานการณ์ในปัจจุบันและผลิตน้ำมันดีเซลที่ยังมีความต้องการที่ดีอยู่ทดแทนเพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ส่งผลให้คาดการณ์ในส่วนของการใช้กำลังการผลิตของโรงกลั่นน้ำมันทั้งปีของบริษัทคาดว่าจะสามารถดำเนินการผลิตที่ 97% มีการปรับกำลังการผลิตลดลงเพียงเล็กน้อย
สำหรับผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี บริษัทได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสในด้านราคาผลิตภัณฑ์เท่านั้น ทางด้านการผลิตยังคงเป็นไปตามแผน แนวโน้มผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์คาดว่าส่วนต่างของผลิตภัณฑ์พาราไซลีนกับแนฟทาในครึ่งปีหลังจะอยู่ที่ 270-290 เหรียญสหรัฐ/ตัน ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากครึ่งปีแรก ซึ่งแม้ว่าจะมีอุปทานที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากผู้ผลิตรายใหม่ แต่อุปสงค์จากภาคอุตสาหกรรมปลายน้ำ เส้นใยและสิ่งทอ (Fiber Filament) กรดเทเรฟทาริคบริสุทธิ์ (PTA) โดยเฉพาะขวดบรรจุภัณฑ์ (PET Bottle Resin) ที่ยังคาดว่าจะมีการเติบโตที่ดี
ด้านส่วนต่างของราคาเบนซีนและแนฟทาจะอยู่ที่ประมาณ 110-120 เหรียญสหรัฐ/ตัน ทรงตัวจากครึ่งปีแรก เนื่องจากตลาดเบนซีนได้รับปัจจัยสนับสนุนจากกำลังการผลิตใหม่ของผลิตภัณฑ์ปลายน้ำ เช่น สไตรีนโมโนเมอร์ และฟีนอล สำหรับในปีนี้บริษัทมีแผนการปิดซ่อมบำรุงเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตของหน่วยผลิตอะโรเมติกส์ 2 ในไตรมาสที่ 3 คาดการณ์การใช้กำลังการผลิตของปี 63 อยู่ที่ 95%
แนวโน้มของสถานการณ์ผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์และผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง มีแนวโน้มทรงตัวจากครึ่งปีแรก จากการคาดการณ์ว่าจะมีกำลังการผลิตใหม่ที่ในปี 63 รวมทั้งราคาน้ำมันดิบที่อยู่ในระดับต่ำ คาดว่าราคาเฉลี่ยเม็ดพลาสติกโพลีเอทิลีน (PE) จะอยู่ราว 740-820 เหรียญสหรัฐ/ตัน ในขณะที่สถานการณ์ราคา MEG คาดว่าจะมีแนวโน้มทรงตัวจากครึ่งปีแรก ซึ่งปัจจัยสำคัญมาจากปริมาณอุปทานมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น