กนอ.จับมือกรมชลประทานเร่งผลักดันโครงการวางท่อสูบน้ำคลองสะพาน เพิ่มเก็บน้ำให้อ่างเก็บน้ำประแสร์ 5 แสนลูกบาศก์เมตรต่อวัน ระยะยาวผลักดันสร้างอ่างเก็บน้ำวังโตนด หวังเพิ่มน้ำได้ 150 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปีเพื่อสร้างความมั่นคงระบบน้ำในอีอีซี หั่นเป้ายอดขายนิคมฯ ปีนี้รับโควิด-19 พร้อมลุยชงบอร์ดอุ้มเอสเอ็มอีและลงทุนในนิคมฯ ลดผลกระทบ
นางสาวสมจิณณ์ พิลึก ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมหารือเรื่อง “วิกฤตสถานการณ์น้ำในพื้นที่ภาคตะวันออก” ร่วมกับกรมชลประทาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ว่า จากตัวเลขน้ำสำรองในปัจจุบันมั่นใจว่าสามารถมีใช้ไปจนถึงเดือนมิถุนายนนี้ และจะผ่านภาวะวิกฤตในครั้งนี้ได้ อย่างไรก็ตาม กนอ.ยังคงมีความเป็นห่วงปัญหาในช่วงหลังเดือนมิถุนายนนี้ และในระยะยาวในปีต่อๆไป จึงได้เสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันเร่งการผลักดันโครงการวางท่อสูบน้ำจากคลองสะพาน จ.ระยอง เพื่อวางท่อส่งน้ำขนาดใหญ่ 1,800 มิลลิเมตร ซึ่งจะสามารถดึงน้ำเข้ามาเก็บที่อ่างเก็บน้ำประแสร์เพิ่มถึง 5 แสนลูกบาศก์เมตรต่อวัน จากปัจจุบันที่ได้วางท่อสูบน้ำชั่วคราว ขนาด 900 มิลลิเมตร สูบน้ำได้ประมาณ 1.5 แสนลูกบาศก์เมตรต่อวัน
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา กนอ.ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ภาคตะวันออกเพื่อให้เพียงพอในช่วงฤดูแล้งมาโดยตลอด ทั้งการเพิ่มนํ้าต้นทุนให้กับ 4 อ่างเก็บน้ำหลัก ประกอบด้วย อ่างเก็บน้ำดอกกราย อ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล อ่างเก็บน้ำคลองใหญ่ และอ่างเก็บน้ำประแสร์ การเพิ่มน้ำต้นทุนในนิคมอุตสาหกรรมโดยการนำน้ำจากคลองชากหมากมาผ่านการบำบัดและนำกลับมาใช้ใหม่ รวมถึงการขอความร่วมมือผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดคอมเพล็กซ์ปรับลดปริมาณการใช้น้ำลง 10%
“ปีนี้น้ำในภาคตะวันออกมีฝนตกต่ำกว่าค่าเฉลี่ย และมีน้ำไหลลงอ่างลดลงจากเดิมเนื่องจากฝนที่ตกไม่เข้าอ่างเก็บน้ำ ทำให้เรื่องน้ำเป็นปัญหาที่สำคัญจะต้องมีมาตรการแก้ไขที่ชัดเจน ซึ่งคาดว่าในปี 2563-2565 จะมีการตั้งโรงงานเพิ่มประมาณ 2 เท่าตัว และหากมีน้ำไม่เพียงพอก็อาจกระทบต่อการตัดสินใจเข้ามาลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ได้จึงต้องเร่งวางแผนรับมือ” นางสาวสมจิณณ์กล่าว
ส่วนสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่อาจส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจอย่างรุนแรง โดยเฉพาะครึ่งหลังของปี 2563 ที่นักลงทุนยังมีความกังวลต่อสถานการณ์ดังกล่าว กนอ.ได้มีการปรับเป้าหมายการเพิ่มพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมภายใต้การกำกับดูแลของ กนอ.ลงเหลือประมาณ 2,000-2,500 ไร่ต่อปี จากเดิมที่ตั้งเป้าประมาณ 3,000-3,500 ไร่ต่อปี นอกจากนี้ กนอ.เตรียมเสนอมาตรการช่วยเหลือกลุ่มเอสเอ็มอี และผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมต่อคณะกรรมการ กนอ.ให้ความเห็นชอบ เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนแก่ผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรม และยังเตรียมแผนเชิงรุกในการดึงดูดการลงทุนหลังโควิด-19 จบลงอีกด้วย