ศูนย์ข่าวศรีราชา - “พล.อ.ประวิตร” ลงพื้นที่ EEC ติดตามสถานการณ์น้ำ พร้อมวาง 3 มาตรการหลัก ลดการใช้น้ำทุกภาคส่วน 10% ทั้งโรงไฟฟ้า-อุตสาหกรรม และซื้อน้ำจากแหล่งน้ำเอกชนเข้าในระบบ เพื่อฝ่าวิกฤตภัยแล้งที่จะเกิดขึ้น
วันนี้ (18 มี.ค.) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำและแนวทางป้องกันแก้ไขสถานการณ์ภัยแล้งในพื้นที่ภาคตะวันออก โดยเดินทางมารับฟังการบรรยายสรุปสถานการณ์น้ำและมาตรการการแก้ไขปัญหา ณ มณฑลทหารบกที่ 14 ค่ายนวมินทราชินี อ.เมืองชลบุรี จ.ชลบุรี
จากนั้น รองนายกรัฐมนตรีและคณะเดินทางไปติดตามสถานการณ์น้ำที่อ่างเก็บน้ำบางพระ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี โดยมี ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ดร.ทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทาน ดร.คณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก นายภัครธรณ์ เทียนไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี นายวิทูรัช ศรีนาม ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี นายสุรศักดิ์ เจริญศิริโชติ ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง พร้อมด้วยผู้แทนส่วนราชการและเอกชนในพื้นที่ให้การต้อนรับ
พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ประเมินสถานการณ์น้ำในพื้นที่ภาคตะวันออก โดยเฉพาะเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC พบว่า ยังมีหลายพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการขาดแคลนน้ำ แม้ว่าฝนตกลงมาในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา และทำให้มีน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำอยู่บ้างแล้วก็ตาม แต่มีปริมาณไม่มากนัก และยังไม่มีเพียงพอต่อความต้องการ
ดังนั้น กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ จึงได้กำหนดมาตรการเร่งด่วนเพื่อบริหารจัดการน้ำให้เพียงพอตลอดฤดูแล้งนี้ โดยหนึ่งในมาตรการเร่งด่วนดังกล่าว คือ การขอความร่วมมือทุกภาคส่วน ทั้งภาคอุตสาหกรรม และประชาชนช่วยกันประหยัดน้ำและลดการใช้น้ำลง 10% ซึ่งจากการติดตามความก้าวหน้าของมาตรการ ทุกภาคส่วนในพื้นที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ทำให้สถานการณ์ภัยแล้งเบาบางลงและชะลอการเกิดผลกระทบในพื้นที่เสี่ยงไปได้มาก
“นอกจากนี้ ต้องขอขอบคุณทางผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี คณะกรรมการลุ่มน้ำสาขาวังโตนด ชาวจันทบุรี สทนช. กรมชลประทานและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องที่ร่วมกันปันน้ำจากอ่างเก็บน้ำคลองประแกด จ.จันทบุรี มาให้อ่างเก็บน้ำประแสร์ จ.ระยอง จำนวน 10 ล้านลูกบาศก์เมตร ตั้งแต่ต้นเดือน มี.ค.ที่ผ่านมาเพื่อเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนช่วยเหลือพื้นที่ผู้ใช้น้ำในพื้นที่จังหวัดระยอง ชลบุรี และฉะเชิงเทรา ตลอดฤดูแล้งปีนี้”
พล.อ.ประวิตร กล่าวอีกว่า เพื่อให้การแก้ไขปัญหาดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถช่วยเหลือประชาชนได้อย่างทันท่วงที จึงขอมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการ ซึ่งถือเป็นมาตรการเร่งด่วน ดังนี้ คือ 1.ขอให้จังหวัดเป็นหน่วยงานหลักในการสำรวจ ติดตามสถานการณ์ขาดแคลนน้ำ และให้ความช่วยเหลือพื้นที่ประสบภัยอย่างทันท่วงที
2.หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมชลประทาน การประปาส่วนภูมิภาค บริษัท East Water การนิคมอุตสาหกรรมฯ และมณฑลทหารบกที่ 14 ต้องร่วมกันป้องกันและดำเนินมาตรการลดผลกระทบในพื้นที่ EEC โดยพิจารณาปรับปรุง พัฒนาเชื่อมโยงน้ำ จัดหาแหล่งน้ำสำรองเพิ่มเติม สูบน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติ มาเติมอ่างเก็บน้ำในกรณีที่มีฝนตก 3.รณรงค์ให้ทุกภาคส่วนลดการใช้น้ำลงอย่างน้อย 10% อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ปริมาณน้ำเพียงพอตลอดช่วงฤดูแล้งและเกิดความมั่นคงด้านน้ำในพื้นที่อย่างยั่งยืนตามนโยบายของรัฐบาลต่อไป พล.อ.ประวิตร กล่าว
ด้าน ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ในฐานะรองผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ กล่าวว่า กอนช. ได้กำหนดมาตรการเร่งด่วนเพื่อให้ปริมาณน้ำต้นทุนในพื้นที่ EEC มีเพียงพอจนถึงสิ้นเดือน มิ.ย.63 โดยการเชื่อมโยงโครงข่ายเติมน้ำใน 3 อ่างเก็บน้ำหลักในพื้นที่ จ.ระยอง และ จ.ชลบุรี ได้แก่ 1.อ่างเก็บน้ำประแสร์ จ.ระยอง ดำเนินการแบ่งปันน้ำจากอ่างเก็บน้ำประแกด จ.จันทบุรี ระบายลงคลองวังโตนด และใช้ ระบบสูบผันน้ำคลองวังโตนด มาเติมอ่างเก็บน้ำประแสร์ ช่วง 1-25 มี.ค.63 รวม 10 ล้าน ลบ.ม.
นอกจากนั้น ได้ดำเนินการสร้างระบบสูบกลับชั่วคราวจากคลองสะพาน เพื่อสูบน้ำในกรณีมีฝนตกในพื้นที่ คิดเป็นปริมาณน้ำประมาณ 0.15 ล้าน ลบ.ม./วัน 2.อ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล จ.ระยอง ดำเนินการสูบผันน้ำลงอ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล 0.6 ล้าน ลบ.ม./วัน และสูบผันน้ำจากอ่างเก็บน้ำคลองใหญ่มาลงอ่างเก็บน้ำหนองปลาไหลอีก 3 ล้าน ลบ.ม. ซ่อมแซมระบบสูบกลับจากแม่น้ำระยอง เพื่อสูบน้ำในกรณีมีฝนตกในพื้นที่ คิดเป็นปริมาณน้ำ 0.10 ล้าน ลบ.ม./วัน ส่วนนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดใช้น้ำจากคลองน้ำหู เพื่อลดการใช้น้ำจากอ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล ในปริมาณวันละ 0.05 ล้าน ลบ.ม. และ 3.อ่างเก็บน้ำบางพระ จ.ชลบุรี สูบผันน้ำจากอ่างเก็บน้ำคลองหลวง รัชชโลทรฯ จ.ชลบุรี 3 ล้าน ลบ.ม. และการระบายน้ำจากอ่างเก็บน้ำนฤบดินทรจินดาฯ จ.ปราจีนบุรี ลงแม่น้ำ บางปะกง และสูบต่อไปยังอ่างเก็บน้ำบางพระ อีก 0.18 ล้าน ลบ.ม./วัน กรณีมีฝนตกในลุ่มน้ำบางปะกงผลักดันน้ำเค็มลงมาต่ำกว่าจุดสูบน้ำ
“นอกจากนี้ ยังมีมาตรการเสริมอีก 4 มาตรการเพื่อรองรับมาตรการหลักที่กล่าวไปข้างต้น ได้แก่ 1.การเจรจาซื้อน้ำจากแหล่งน้ำเอกชนเข้าในระบบน้ำของ จ.ชลบุรี และ จ.ฉะเชิงเทรา อีก 14 ล้าน ลบ.ม. 2.การลดการใช้น้ำจากทุกภาคส่วนในพื้นที่ 10% 3.การลดการใช้น้ำของโรงไฟฟ้าเอกชนโดยการเดินระบบอยู่ในโหมด Stand Bye หรือเดินระบบเท่าที่จำเป็น และ 4.ผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่ จ.ระยอง ลดการใช้น้ำ 10% ทั้งนี้ เพื่อรองรับการใช้น้ำเพื่อการท่องเที่ยวในพื้นที่เมืองพัทยา การประปาส่วนภูมิภาคสาขาพัทยา ยังมีแผนติดตั้งระบบสูบน้ำเคลื่อนที่จากอ่างเก็บน้ำห้วยตู้ 1, 2 และอ่างเก็บน้ำมาบฟักทอง 1, 2 รวม 3 ล้าน ลบ.ม. เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ประชาชนจะมีน้ำกินน้ำใช้อย่างเพียงพอตลอดแล้งนี้” ดร.สมเกียรติ กล่าว