“ปูนซิเมนต์ไทย” จ่อหั่นเป้ารายได้ปีนี้ลดกว่า 6% หลังไตรมาส 1/63 รายได้จากการขายลด 6% แต่กำไรสุทธิวูบหนัก 40% เหลือ 6.97 พันล้านบาท จากพิษโรคโควิด-19 พร้อมปรับลดงบลงทุนในปีนี้ 1 หมื่นล้านบาท เหลือ 5.5-6.5 หมื่นล้านบาท
นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCC) เปิดเผยว่า บริษัทได้ปรับลดงบการลงทุนในปี 2563 ลงประมาณ 1 หมื่นล้านบาท จากเดิมที่วางไว้ 6-7 หมื่นล้านบาทมาอยู่ที่ 5.5-6.5 หมื่นล้านบาท จากผลกระทบการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลกลดลง ดังนั้นการตัดสินใจลงทุนโครงการต่างๆ จะพิจารณาอย่างรอบคอบ และระมัดระวัง รวมทั้งการตัดสินใจเข้าซื้อกิจการ (M&A) หากโครงการใดชะลอการลงทุนเพื่อรอประเมินผลกระทบโควิด-19 ก็จะไม่เร่งรีบลงทุน
ปัจจุบันบริษัทมีเงินสดในมือจำนวนมาก เพียงพอรับความผันผวนทางเศรษฐกิจได้ 6-12 เดือนข้างหน้า ซึ่งผลกระทบจากโควิด-19 ไม่ทำให้บริษัทต้องตัดสินใจหยุดการลงทุนทั้งหมดแต่ทำอย่างระมัดระวังขึ้น
ส่วนโครงการลงทุนที่เป็นประโยชน์ทางธุรกิจ อาทิ โครงการปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ที่เวียดนามยังเดินหน้าตามเดิม ล่าสุดคืบหน้าไปแล้ว 33-34% เพียงแต่เพิ่มความเข้มในเรื่องสุขอนามัย การรักษาระยะห่างทางสังคมเพื่อป้องกันโรคโควิด-19 ซึ่งเวียดนามเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบโควิด-19 ค่อนข้างน้อย ขณะเดียวกันบริษัทได้มีการหาแหล่งเงินกู้สำหรับโครงการนี้แล้ว 100%
นอกจากนี้ บริษัทเตรียมปรับลดเป้าหมายการเติบโตของรายได้จากการขายในปีนี้ลดลงกว่า 6% จากปีก่อน แต่จะลดมากแค่ไหนยังไม่สามารถกำหนดได้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 จะนานแค่ไหน เพราะขณะนี้ยังไม่มีวัคซีนในการรักษา ซึ่งในไตรมาส 1/2563 บริษัทได้รับผลกระทบโดยตรงแค่ 1 เดือน (มี.ค.) ก็ส่งผลให้ยอดขายลดลงไปแล้ว 6% แต่เชื่อว่าทั้งปีผลกระทบจะมากกว่านั้นแน่
การแพร่ระบาดโควิด-19 เป็นความท้าทายและเป็นวิกฤตที่ไม่รู้ว่าจะกินเวลานานแค่ไหน แต่ทุกวิกฤตก็เป็นโอกาส ทำให้บริษัทที่มีความพร้อมด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและระบบซัปพลายเชนที่แข็งแกร่งสามารถเข้าไปชิงตลาดแทนผู้ประกอบการรายอื่นที่ต้องหยุดการผลิตลง
ทั้งนี้ บริษัทยืนยันว่าตอนนี้ไม่มีแผนปรับลดกำลังการผลิตปูนซีเมนต์ลง โดยยอมรับผู้ประกอบการรับเหมาและอสังหาฯ ขนาดกลางและเล็กจะได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก ดังนั้นจึงอยากให้ภาครัฐเร่งเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อใช้ในการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และยังช่วยภาคธุรกิจเอกชนให้ผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปด้วย
ผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 1 ปี 2563 บริษัทมีรายได้จากการขาย 105,741 ล้านบาท ลดลง 6% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากราคาขายของสินค้าเคมีภัณฑ์ลดลงตามความต้องการสินค้าในตลาดโลกที่ลดลง และมีกำไรสุทธิ 6,971 ล้านบาท ลดลง 40% จากปีก่อน ตามผลการดำเนินงานที่ลดลงของธุรกิจเคมิคอลส์ เนื่องจากส่วนต่างราคาสินค้าลดลง ขณะที่กลุ่มแพกเกจจิ้งยังไปได้ดีในช่วงภาวะนี้เพราะประชาชนหันมาใช้บริการออนไลน์ในการส่งสินค้าอุปโภคและบริโภค
อย่างไรก็ตาม บริษัทได้นำเทคโนโลยีดิจิทัลและบล็อกเชนมาใช้ในการดำเนินงานเพื่อรวดเร็วให้ทันต่อพฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลง มีการขายผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น และตัดลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง และรักษาเงินสดในมือ
นายรุ่งโรจน์กล่าวต่อไปว่า ราคาน้ำมันก็ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้ราคาและปริมาณการใช้ลดลง ซึ่งทำให้ต้นทุนวัตถุดิบปิโตรเคมี คือแนฟทาปรับลดตามไปด้วย โดยดูตลาดจีนจะกลับมานำเข้าพลาสติกจะช่วยการฟื้นตัวปิโตรเคมี
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติเสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นเพื่อรับทราบการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจำนวนสองครั้งในอัตราหุ้นละ 14.00 บาท รวมเป็นเงิน 16,800 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 52 ของกำไรงวดปีงบประมาณ 2562 โดยจ่ายระหว่างกาลครั้งที่สองในวันที่ 17 เมษายน 2563 ในอัตราหุ้นละ 7 บาท
นอกจากนี้ กำหนดให้มีการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2563 ในวันที่ 8 มิถุนายน 2563 เวลา 09.00 น. ห้อง Hall 1 ชั้น P10 อาคารอเนกประสงค์ บริษัทปูนซิเมนต์ เลขที่ 1 ถนนปูนซิเมนต์ไทย บางซื่อ กรุงเทพมหานคร
นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCC) เปิดเผยว่า บริษัทได้ปรับลดงบการลงทุนในปี 2563 ลงประมาณ 1 หมื่นล้านบาท จากเดิมที่วางไว้ 6-7 หมื่นล้านบาทมาอยู่ที่ 5.5-6.5 หมื่นล้านบาท จากผลกระทบการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลกลดลง ดังนั้นการตัดสินใจลงทุนโครงการต่างๆ จะพิจารณาอย่างรอบคอบ และระมัดระวัง รวมทั้งการตัดสินใจเข้าซื้อกิจการ (M&A) หากโครงการใดชะลอการลงทุนเพื่อรอประเมินผลกระทบโควิด-19 ก็จะไม่เร่งรีบลงทุน
ปัจจุบันบริษัทมีเงินสดในมือจำนวนมาก เพียงพอรับความผันผวนทางเศรษฐกิจได้ 6-12 เดือนข้างหน้า ซึ่งผลกระทบจากโควิด-19 ไม่ทำให้บริษัทต้องตัดสินใจหยุดการลงทุนทั้งหมดแต่ทำอย่างระมัดระวังขึ้น
ส่วนโครงการลงทุนที่เป็นประโยชน์ทางธุรกิจ อาทิ โครงการปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ที่เวียดนามยังเดินหน้าตามเดิม ล่าสุดคืบหน้าไปแล้ว 33-34% เพียงแต่เพิ่มความเข้มในเรื่องสุขอนามัย การรักษาระยะห่างทางสังคมเพื่อป้องกันโรคโควิด-19 ซึ่งเวียดนามเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบโควิด-19 ค่อนข้างน้อย ขณะเดียวกันบริษัทได้มีการหาแหล่งเงินกู้สำหรับโครงการนี้แล้ว 100%
นอกจากนี้ บริษัทเตรียมปรับลดเป้าหมายการเติบโตของรายได้จากการขายในปีนี้ลดลงกว่า 6% จากปีก่อน แต่จะลดมากแค่ไหนยังไม่สามารถกำหนดได้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 จะนานแค่ไหน เพราะขณะนี้ยังไม่มีวัคซีนในการรักษา ซึ่งในไตรมาส 1/2563 บริษัทได้รับผลกระทบโดยตรงแค่ 1 เดือน (มี.ค.) ก็ส่งผลให้ยอดขายลดลงไปแล้ว 6% แต่เชื่อว่าทั้งปีผลกระทบจะมากกว่านั้นแน่
การแพร่ระบาดโควิด-19 เป็นความท้าทายและเป็นวิกฤตที่ไม่รู้ว่าจะกินเวลานานแค่ไหน แต่ทุกวิกฤตก็เป็นโอกาส ทำให้บริษัทที่มีความพร้อมด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและระบบซัปพลายเชนที่แข็งแกร่งสามารถเข้าไปชิงตลาดแทนผู้ประกอบการรายอื่นที่ต้องหยุดการผลิตลง
ทั้งนี้ บริษัทยืนยันว่าตอนนี้ไม่มีแผนปรับลดกำลังการผลิตปูนซีเมนต์ลง โดยยอมรับผู้ประกอบการรับเหมาและอสังหาฯ ขนาดกลางและเล็กจะได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก ดังนั้นจึงอยากให้ภาครัฐเร่งเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อใช้ในการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และยังช่วยภาคธุรกิจเอกชนให้ผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปด้วย
ผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 1 ปี 2563 บริษัทมีรายได้จากการขาย 105,741 ล้านบาท ลดลง 6% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากราคาขายของสินค้าเคมีภัณฑ์ลดลงตามความต้องการสินค้าในตลาดโลกที่ลดลง และมีกำไรสุทธิ 6,971 ล้านบาท ลดลง 40% จากปีก่อน ตามผลการดำเนินงานที่ลดลงของธุรกิจเคมิคอลส์ เนื่องจากส่วนต่างราคาสินค้าลดลง ขณะที่กลุ่มแพกเกจจิ้งยังไปได้ดีในช่วงภาวะนี้เพราะประชาชนหันมาใช้บริการออนไลน์ในการส่งสินค้าอุปโภคและบริโภค
อย่างไรก็ตาม บริษัทได้นำเทคโนโลยีดิจิทัลและบล็อกเชนมาใช้ในการดำเนินงานเพื่อรวดเร็วให้ทันต่อพฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลง มีการขายผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น และตัดลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง และรักษาเงินสดในมือ
นายรุ่งโรจน์กล่าวต่อไปว่า ราคาน้ำมันก็ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้ราคาและปริมาณการใช้ลดลง ซึ่งทำให้ต้นทุนวัตถุดิบปิโตรเคมี คือแนฟทาปรับลดตามไปด้วย โดยดูตลาดจีนจะกลับมานำเข้าพลาสติกจะช่วยการฟื้นตัวปิโตรเคมี
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติเสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นเพื่อรับทราบการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจำนวนสองครั้งในอัตราหุ้นละ 14.00 บาท รวมเป็นเงิน 16,800 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 52 ของกำไรงวดปีงบประมาณ 2562 โดยจ่ายระหว่างกาลครั้งที่สองในวันที่ 17 เมษายน 2563 ในอัตราหุ้นละ 7 บาท
นอกจากนี้ กำหนดให้มีการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2563 ในวันที่ 8 มิถุนายน 2563 เวลา 09.00 น. ห้อง Hall 1 ชั้น P10 อาคารอเนกประสงค์ บริษัทปูนซิเมนต์ เลขที่ 1 ถนนปูนซิเมนต์ไทย บางซื่อ กรุงเทพมหานคร