ผู้ค้าแอลพีจีโอดโควิด-19 ฉุดยอดขายดิ่ง 30-50% หลังภาคอุตสาหกรรม โรงแรม ร้านอาหาร ปิดกิจการส่วนใหญ่ ยืนยันร้านค้าติดป้ายราคาแนะนำ 318 บาทต่อถัง (15 กก.) ยังไม่รวมค่าขนส่งและกรณีพิเศษเช่นพื้นที่อาคารสูง โอดต้นทุนขนส่งเพิ่มเหตุแรงงานหายาก
นายสุรศักดิ์ อยู่คงพัน นายกสมาคมผู้ค้าก๊าซปิโตรเลียมเหลว (แอลพีจี) เปิดเผยว่า จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบให้ภาคอุตสาหกรรม ธุรกิจโรงแรม ร้านค้าอาหาร ต้องหยุดกิจการลงตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2563 ที่กำหนดไว้ทำให้ยอดขายแอลพีจีทั้งภาคครัวเรือนและอุตสาหกรรมภาพรวมลดลงเฉลี่ย 30-50% ภาพรวมทั้งปี 2563 การใช้มีแนวโน้มจะไม่เติบโตและอาจติดลบได้ขึ้นอยู่ว่าสถานการณ์จะยืดเยื้อไปมากน้อยเพียงใดจากเฉลี่ยจะมีอัตราเติบโตปีละ 3-5%
“ผู้ค้าที่เป็นสมาชิกสมาคมฯ ที่มีกว่า 1,000 ราย ส่วนใหญ่จะมียอดขายที่ลดลง แต่จะมากน้อยต่างกันไปขึ้นอยู่กับลูกค้าประเภทใดมากกว่ากัน หากเน้นลูกค้าที่เป็นประเภทอุตสาหกรรม ธุรกิจโรงแรม มากกว่าร้านอาหาร แอลพีจีครัวเรือนก็จะกระทบมาก ส่วนกรณีครัวเรือนการที่ประชาชนอยู่บ้าน หรือทำงานอยู่ที่บ้าน (Work From Home) การใช้แอลพีจีอาจจะเพิ่ม แต่ภาพรวมไม่ได้มากนักเพราะบางบ้านใช้เตาไฟฟ้า บางคนก็สั่งผ่านออนไลน์ประกอบด้วย” นายสุรศักดิ์กล่าว
อย่างไรก็ตาม จากกรณีที่รองอธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ได้ออกมาระบุว่าหากร้านค้าใดไม่ปิดป้ายแนะนำราคา ค่าขนส่ง และบริการอื่นๆ และหากตรวจสอบพบจำหน่ายราคาสูงเกินสมควรจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับนั้น ขอยืนยันว่าราคาแอลพีจีถังครัวเรือนขนาด 15 กิโลกรัมที่ล่าสุดได้ปรับลดลงตามมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ลงมาเหลือ 318 บาท หรือลดลงถังละ 45 บาทเป็นเวลา 3 เดือน (ตั้งแต่ 24 มี.ค. - 24 มิ.ย.) เพื่อลดผลกระทบโควิด-19 นั้นทางร้านค้าได้ติดป้ายแนะนำราคาอยู่แล้วแต่ค่าขนส่งนั้นขึ้นอยู่กับระยะทาง เฉลี่ยปัจจุบันจะเก็บ10- 20 บาทต่อถัง และบางที่หากต้องขนขึ้นอาคารสูงหรือไปในที่ยากๆ ก็จะบวกอีก 5-10 บาท ขึ้นอยู่กับการตกลงอีกด้วย
“ขณะนี้ราคาแอลพีจีไม่ได้เป็นสินค้าควบคุม และราคาขายปลีกดังกล่าวเป็นราคาแนะนำที่ร้านค้ายังไม่รวมค่าขนส่งที่ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับระยะทางภาพรวมที่จะเก็บเฉลี่ยไม่เกิน 20 บาทต่อถัง (15 กก.) หากประชาชนต้องการแอลพีจีถูกจริงๆ มารับถึงร้านจะได้ลดราคามากกว่าราคาแนะนำด้วยซ้ำ เพราะต้องเข้าใจว่าแรงงานไทยก็หายากเพราะเป็นงานหนักไม่มีใครทำ ต้องอาศัยแรงงานต่างด้าว ยิ่งช่วงโควิด-19 ก็ทำให้แรงงานที่จะไปจัดส่งก็ไม่ง่าย เขาก็กลัวติดเชื้อเช่นกัน บางร้านต้องจ้างพิเศษอีกด้วย” นายสุรศักดิ์กล่าว
ทั้งนี้ แนวโน้มในระยะต่อไปด้วยหลายปัจจัย ทั้งค่าการตลาดแอลพีจีที่ไม่ได้สูงมากนัก แรงงานที่หายากและมีราคาแพง ประกอบกับการควบคุมของภาครัฐจากหลายหน่วยงานที่เข้าตรวจสอบ ทำให้ร้านค้าแอลพีจีหลายรายเริ่มมีแนวโน้มเลิกประกอบกิจการร้านค้าแอลพีจีมากขึ้น ขณะที่กำไรนั้นไม่ได้สูงมาก ค่าการตลาดถือว่าอยู่ในระดับที่ต่ำ
