“ศิริ” ยืนยันไม่ได้มีนโยบายบังคับให้ผู้ค้าเลิกแจ้งราคาขายปลีกล่วงหน้า แต่หากการเปลี่ยนแปลงต้องไม่มีวัตถุประสงค์ในการชี้นำตลาดจนส่งผลให้ไม่เกิดการแข่งขัน ยัวะที่ผ่านมาลดกองทุนอนุรักษ์ฯ แต่ผู้ค้ากลับลดราคาต่ำกว่าความเป็นจริง ยันราคาขณะนี้ต้องลดได้อีก 20-25 สต./ลิตร พร้อมปรับราคา NGV กลุ่มรถสาธารณะขึ้น 62 สตางค์ต่อ กก. เป็น 10.62 บาท/ลิตร มีผล 16 พ.ค. 61-1 ก.ค. 62
นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยหลังการเป็นประธานคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน หรือ กบง. ว่า ยืนยันว่าภาครัฐไม่ได้บังคับให้ผู้ค้าแจ้งเปลี่ยนแปลงราคาน้ำมันขายปลีกล่วงหน้า แต่การปรับเปลี่ยนต้องเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคเป็นหลัก ต้องไม่มีพฤติกรรมการประกาศราคาเพื่อจุดประสงค์ในการชี้นำตลาดรายอื่นจนส่งผลให้ไม่เกิดการแข่งขัน เพราะหากพิจารณาค่าการตลาดปัจจุบันดีเซลอยู่ที่ 2.05 บาทต่อลิตรแต่ค่าการตลาดที่ผู้ค้าควรได้รับอยู่ที่ 1.80 บาทต่อลิตร ดังนั้น ราคาขายปลีกดีเซลก็ควรจะปรับลด 20-25 สตางค์ต่อลิตรหากมีการแข่งขันแท้จริง
“ทางสำนักนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) จะหารือกับผู้ค้าน้ำมันในเร็วๆ นี้ โดยจะขอให้การเปลี่ยนแปลงราคาต้องไม่มีจุดประสงค์การชี้นำตลาด ซึ่งผู้ค้าสามารถแจ้งเปลี่ยนราคาเองได้เพื่อให้เกิดการแข่งขัน แต่จะไม่เกี่ยวกับภาครัฐแต่อย่างใด ซึ่งเห็นได้จากกรณีที่มีการปรับลดเงินส่งเข้ากองทุนอนุรักษ์พลังงาน 15 สตางค์ต่อลิตรนั้นปรากฏว่าผู้ค้าลดได้น้อยกว่าที่ควรจะเป็นเพราะมีผู้ค้าชี้นำตลาด ดังนั้นลักษณะนี้จึงไม่เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค” นายศิริกล่าว
นอกจากนี้ กบง.มีมติเห็นชอบแนวทางดำเนินการสำหรับรถ NGV สาธารณะ เพื่อให้มีการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV ของรถยนต์ทั่วไปให้สะท้อนค่าความร้อนที่เปลี่ยนแปลงไป ตามแผนการบริหารจัดการคุณภาพ NGV เพื่อปรับยกคุณภาพ NGV โดยเพิ่มค่าความร้อน 35,947 บีทียู/กก. เป็น 38,500 บีทียู/กก. ส่งผลให้จะมีการปรับขึ้นราคาขายปลีก NGV สำหรับกลุ่มรถโดยสารสาธารณะเพิ่มขึ้นอีก 0.62 บาทต่อกิโลกรัม หรือราคาจะมาอยู่ที่ 10.62 บาทต่อ กก. โดยจะมีผลในวันที่ 16 พ.ค.-1 ก.ค. 2562
“กบง.มีมติที่จะคงมาตรการส่วนลดราคาสำหรับรถสาธารณะไปอีก 1 ปี ถึงเดือนกรกฎาคม 2562 จากนั้นจะปรับราคาขายปลีก NGV เพื่อสะท้อนต้นทุนที่แท้จริงต่อไป” นายทวารัฐ สูตะบุตร กล่าว
นายศิริกล่าวว่า กบง.ยังเห็นชอบส่งเสริมการดูดซับน้ำมันปาล์ม โดยส่งเสริมรถบรรทุกขนาดใหญ่ใช้บี20 ราคาถูกกว่าบี7 อัตรา 3 บาท/ลิตร เป็นการจูงใจการใช้ โดยมาจากการลดภาษีสรรพสามิตที่เพิ่มจากบี7 เป็นบี20 จำนวน 82 สตางค์ต่อลิตร และการอุดหนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 2.20 บาทต่อลิตร โดยจะมีวงเงินอุดหนุนไม่เกิน 3,000 ล้านบาทเท่านั้น คาดเริ่มจำหน่ายเดือนมิถุนายนนี้ จะดูดซับน้ำมันปาล์ม (CPO) ได้อีก 2.6 แสนตัน/ปี