กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศแนะผู้ส่งออกสินค้าอาหารฮาลาล ใช้ประโยชน์จากเอฟทีเอขยายการส่งออกเจาะตลาดผู้บริโภคชาวมุสลิมที่กำลังขยายตัว เผยปัจจุบันไทยมีเอฟทีเอ 13 ฉบับกับ 18 ประเทศ ที่มีการลดภาษีแล้ว และยังอยู่ระหว่างเจรจาเอฟทีเอกับตุรกี ปากีสถาน บังคลาเทศ เพื่อเปิดตลาดสินค้าอาหารฮาลาลด้วย ย้ำผู้ผลิตต้องให้ความสำคัญเรื่องคุณภาพ มาตรฐานตามหลักศาสนาอิสลาม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภค
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า อาหารฮาลาลถือเป็นกลุ่มสินค้าที่มีความต้องการสูงและมีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และไทยยังเป็นประเทศที่มีศักยภาพในการส่งออกอาหารฮาลาลสูง โดยเฉพาะในกลุ่มประเภทข้าว ผลไม้สดแห้งแช่เย็นแช่แข็ง อาหารทะเลแปรรูปและกระป๋อง และน้ำตาล เนื่องจากได้เปรียบด้านวัตถุดิบต้นน้ำที่นำมาผลิตอาหารฮาลาล และตลาดกลุ่มอาหารฮาลาลยังเป็นตลาดขนาดใหญ่ มีผู้บริโภคกว่า 2,200 ล้านคน หรือประมาณ 29% ของประชากรโลก จึงเป็นโอกาสของผู้ประกอบการส่งออกไทยที่จะขยายตลาดสินค้าอาหารฮาลาลได้เพิ่มขึ้น
“ผู้ส่งออกควรใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ที่ไทยมีอยู่ทั้ง 13 ฉบับ กับ 18 ประเทศ ที่มีการปรับลดภาษีแล้ว เพื่อส่งออกสินค้าอาหารฮาลาลไปยังกลุ่มประเทศอิสลาม (OIC) ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และบรูไน รวมถึงประเทศที่มีกำลังการบริโภคกลุ่มอาหารฮาลาลสูง เช่น จีน ญี่ปุ่น และเวียดนาม เป็นต้น เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันกับสินค้าของคู่แข่ง และต่อไป จะมีโอกาสส่งออกได้เพิ่มขึ้น เพราะไทยกำลังอยู่ระหว่างการเจรจาจัดทำเอฟทีเอกับตุรกี และปากีสถาน และมีแผนจะเจรจาเอฟทีเอกับบังคลาเทศ ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสขยายตลาดกลุ่มอาหารฮาลาลในอนาคตได้เพิ่มขึ้นด้วย”
นางอรมนกล่าวว่า ปัจจุบันไทยครองตำแหน่งผู้ส่งออกกลุ่มอาหารฮาลาลอันดับ 1 ในอาเซียน รวมถึงเป็นอันดับ 3 ในเอเชีย รองจากจีน และอินเดีย และอันดับที่ 12 ของโลก โดยในปี 2562 ไทยส่งออกสินค้ากลุ่มอาหารฮาลาลไปทั่วโลกรวมมูลค่า 29,331 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่งออกไปจีนมากที่สุด รองลงมาได้แก่ สหรัฐฯ และญี่ปุ่น ในขณะที่การส่งออกไปประเทศสมาชิกองค์กรความร่วมมืออิสลาม (OIC) 57 ประเทศ มีมูลค่ารวม 5,217 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 16% ของการส่งออกสินค้าทุกรายการ
สำหรับสินค้าส่งออกสำคัญไปยังกลุ่ม OIC เช่น น้ำตาลทราย ส่งออก 1,463 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 28% ของการส่งออกอาหารฮาลาลทั้งหมด รองลงมา คือ ข้าว ส่งออก 1,422 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 27% อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ส่งออก 683 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 13% และอาหารสำเร็จรูปและเครื่องปรุงแต่งอาหาร ส่งออก 258 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 5% เป็นต้น โดยไทยส่งออกสินค้าอาหารฮาลาลไปประเทศในกลุ่ม OIC สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย เบนิน ซาอุดิอาระเบีย และแคมารูน และยังมีประเทศอื่นที่มีแนวโน้มต้องการอาหารฮาลาลเพิ่มขึ้น ได้แก่ จีน สหรัฐฯ รัสเซีย และอินเดีย
ทั้งนี้ การส่งออกสินค้าไปจำหน่ายในกลุ่มประเทศมุสลิม โดยเฉพาะอาหารที่มีเนื้อสัตว์เป็นส่วนประกอบ และเครื่องดื่ม จะต้องให้ความสำคัญกับกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐานตามหลักศาสนาอิสลาม พร้อมยื่นขออนุญาตใช้เครื่องหมายฮาลาลและหนังสือรับรองการผลิตอาหารฮาลาล จากสำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย หรือสำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภค และควรพัฒนารูปแบบและคุณภาพสินค้าให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภค เช่น อาหารออร์แกนิกเพื่อสุขภาพ อาหารสำหรับคนในชุมชนเมืองที่ต้องการความสะดวกสบาย และผู้สูงอายุที่เน้นบำรุงสุขภาพ เป็นต้น รวมทั้งควรเจาะตลาดใหม่ๆ เช่น ประเทศที่มีคนมุสลิมอาศัยอยู่ หรือไปท่องเที่ยวจำนวนมาก รวมถึงตลาดที่ไทยมีความตกลงการค้าเสรีด้วย