เมื่อเกิดวิกฤตทุกครั้ง สิ่งที่ตามมาคือความสามัคคี ร่วมด้วยช่วยกัน โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตการณ์โรคระบาดโควิด-19 ที่ถือเป็นวิกฤตใหญ่ครั้งร้ายแรงในประวัติศาสตร์โลก นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา กระทบทั้งธุรกิจใหญ่ กลาง เล็ก จนหลายแห่งปิดกิจการ กระทบคนหาเช้ากินค่ำ ไม่ว่ารวย หรือจน คนทุกระดับ ทำให้นาทีนี้ การร่วมใจทำสิ่งที่แต่ละภาคส่วนทำได้เพื่อสังคมจึงเป็นสิ่งสำคัญ
ทั้งโลกได้เห็นพลังอันยิ่งใหญ่ที่เข้ามาส่งต่อความดีงามให้สังคมอย่างเร่งด่วนและทรงพลัง ด้วยศักยภาพของบรรดาธุรกิจใหญ่ชั้นนำทั่วโลกอย่างต่อเนื่องที่พร้อมใจกันร่วมช่วยเหลือสังคมและประเทศที่กำลังชะงักงันจากวิกฤตโควิด-19 อย่างแสนสาหัส สะท้อนให้เห็นว่าเมื่อโลกและประเทศต่างๆ กำลังเผชิญวิกฤตใหญ่ บรรดามหาเศรษฐีนักธุรกิจเหล่านี้ต่างเป็นพลังขับเคลื่อนในการร่วมลดผลกระทบโลกไปด้วยกัน แม้ธุรกิจจะกระทบหนักจนแทบพยุงไว้ไม่ไหว แต่ด้วยการรวบรวมมันสมองและกำลังที่เหลืออยู่ ภาคธุรกิจชั้นนำและมหาเศรษฐีเจ้าของธุรกิจชั้นแนวหน้าทั่วโลกที่ไม่ได้นิ่งดูดาย ต่างระดมสรรพกำลังเข้ามาทั้งช่วยผลิตและบริจาคสิ่งจำเป็นทางการแพทย์และสาธารณสุขอย่างเร่งด่วน จนกลายเป็นพลังแถวหน้าร่วมกับภาครัฐของแต่ละประเทศในการร่วมต่อสู้วิกฤตโควิด-19
ล่าสุด เว็บไซต์ FORBES.COM สื่อดังระดับโลกเผยแพร่บทความล่าสุด Billionaire Tracker: Actions The World’s Wealthiest Are Taking In Response To The Coronavirus Pandemic โดยนำเสนอให้เห็นว่า บรรดามหาเศรษฐีชั้นนำได้เข้ามาช่วยโลกรับมือวิกฤตโควิด-19 และพยุงเศรษฐกิจโลกด้วยเช่นกัน มหาเศรษฐีด้านเทคโนโลยีเบอร์ต้นของโลกอย่าง “บิลล์ เกตส์” ที่เคยออกมาเตือนถึงโรคระบาดครั้งใหญ่ ได้บริจาคเงินหลายล้านเหรียญสหรัฐเพื่อช่วยสนับสนุนการผลิตวัคซีนและวินิจฉัยโรค เช่นเดียวกับมหาเศรษฐีทุกวงการในสหรัฐฯ และทั่วโลก ซึ่งฟอร์บส์ได้รวบรวมมาว่ามหาเศรษฐีชั้นนำทั่วโลกที่ต่างบริหารธุรกิจจนประสบความสำเร็จ สร้างอาณาจักรที่แข็งแกร่งนี้ พวกเขาได้ออกมาช่วยเหลือสังคมอย่างไรบ้างในยามวิกฤต มีตั้งแต่การบริจาคอุปกรณ์ทางการแพทย์และสาธารณสุข ตั้งแต่ถุงมือยาง เครื่องช่วยหายใจ เครื่องมือวินิจฉัยและตรวจหาเชื้อโควิด-19 ไปจนถึงปรับเปลี่ยนไลน์การผลิตสินค้า มาร่วมเดินเครื่องจักรผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ขาดแคลนอย่างเร่งด่วนแทน เช่น กลุ่มธุรกิจแบรนด์แฟชั่นดัง LVMH, กลุ่มธุรกิจยานยนต์ Ford และบริษัทอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง GE และอีกหลายธุรกิจขนาดใหญ่ที่ต่างกำลังเร่งพัฒนาวัคซีนเพื่อหยุดยั้งการแพร่กระจายของไวรัสกันอย่างเร่งด่วน
นอกจากนี้ ฟอร์บส์ยังรายงานด้วยว่า ทำเนียบมหาเศรษฐีที่ร่วมเข้ากอบกู้วิกฤตครั้งนี้ หนึ่งในนั้นมีชื่อของคนไทย นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือซีพี เอกชนชั้นนำของประเทศไทย เจ้าของอาณาจักรอุตสาหกรรมด้านเกษตรและอาหารเบอร์ต้นของโลก
ฟอร์บส์รายงานว่า นายธนินท์ได้เปิดตัวโครงการช่วยเหลือต่างๆ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่สังคมจากวิกฤตโควิด-19 หลายโครงการและถือเป็นแนวคิดริเริ่มครั้งแรก ไม่ว่าจะเป็น การทุ่มงบประมาณสร้างโรงงานผลิตหน้ากากอนามัยแจกฟรีให้ทุกคน โดยตั้งเป้าจะเร่งผลิตให้ได้วันละ 100,000 ชิ้น หรือเดือนละ 3 ล้านชิ้น เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนหน้ากากสำหรับบุคลากรทางการแพทย์และประชาชนทั่วไป จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย ขณะเดียวกันได้มอบชุดป้องกันการติดเชื้อเพื่อแพทย์ พยาบาล และบุคลากรโรงพยาบาล ตลอดจนมีโครงการจัดส่งอาหารฟรีแก่บุคลากรโรงพยาบาลรัฐกว่า 40 แห่งทั่วประเทศ และกลุ่มเสี่ยงที่ต้องกักบริเวณ รวมทั้งการประกาศว่าจะไม่มีการขึ้นราคาสินค้าในสถานการณ์วิกฤตครั้งนี้
นอกจากนี้ ได้มีการรวบรวมโครงการเพื่อสังคมที่กลุ่มซีพีได้ดำเนินการในช่วง 4 ปีที่ผ่านมากว่า 450 ล้านเหรียญสหรัฐ ไม่ว่าจะเป็นเงินบริจาคและอาหารยามวิกฤตน้ำท่วม ทุนการศึกษา โครงการผิงกู่ และการลงทุนให้สังคมด้านการศึกษาในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ฟอร์บส์ได้รวบรวมและรายงานให้เห็นภาพของกลุ่มธุรกิจ และมหาเศรษฐีชั้นแนวหน้าของโลกที่ทุ่มเทอย่างเต็มกำลังเพื่อร่วมกู้วิกฤตโควิด-19 อย่างเป็นรูปธรรมจำนวนเกือบร้อยคน นอกจาก “บิลล์ เกตส์” แล้วยังมี “แจ็ก หม่า” ผู้ร่วมก่อตั้งอาณาจักร Alibaba ได้ให้คำมั่นว่าจะมอบเงิน 14 ล้านเหรียญสหรัฐในการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 นอกจากนี้ เขายังบริจาคชุดทดสอบโรค 500,000 ชุด และหน้ากากอนามัย 1 ล้านชิ้นแก่ประชาชนชาวอเมริกัน รวมทั้งได้ส่งเวชภัณฑ์และชุดทดสอบโรคไปยังอิตาลี และประเทศอื่นๆ ทั่วแอฟริกา ละตินอเมริกา เอเชีย และล่าสุดได้จัดตั้ง Global MediXchange สำหรับการรวมองค์ความรู้โควิด-19 เพื่อแบ่งปันข้อมูลกับแพทย์ทั่วโลก ซึ่งเป็นแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดระหว่างการแพร่ระบาด ขณะที่เบอร์นาร์ด อาร์โนลต์ แห่ง LVMH เจ้าของแบรนด์ หลุยส์ วิตตอง ได้แปลงโรงงานน้ำหอม 3 แห่งของ LVMH เพื่อผลิตน้ำยาฆ่าเชื้อล้างมือแจกจ่ายแก่หน่วยงานของฝรั่งเศสและระบบโรงพยาบาลที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปฟรี ทั้งยังจัดหาหน้ากากอนามัยอย่างน้อย 40 ล้านชิ้นให้แก่ฝรั่งเศส โดยจ่ายเงินประมาณ 5.4 ล้านดอลลาร์ (5 ล้านยูโร) สำหรับการจัดส่งในสัปดาห์แรก
ส่วนเศรษฐีเจ้าของอาณาจักรเฟซบุ๊ก “มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก” ได้ร่วมพามูลนิธิของเขาทำงานร่วมกับ UC San Francisco และ Stanford University เพื่อเร่งวินิจฉัยโรค ตลอดจนซื้อเครื่องตรวจวินิจฉัยที่ได้รับการอนุมัติจาก FDA นอกจากนี้ยังประกาศมอบเงิน 100 ล้านดอลลาร์เพื่อช่วยเหลือธุรกิจขนาดเล็กที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตนี้ และได้บริจาคเงิน 20 ล้านดอลลาร์ให้แก่สหประชาชาติ องค์การอนามัยโลก และศูนย์ควบคุมโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (CDC) ขณะเดียวกันยังประกาศจะบริจาคเงินสำรองฉุกเฉินเพื่อซื้อหน้ากากจำนวน 720,000 ชิ้นให้แก่เจ้าหน้าที่ด้านสุขภาพ และจะทำงานเพื่อหาแหล่งบริจาคอีกนับล้านต่อไป
ฟาก “เจฟฟ์ เบโซส” เจ้าของอาณาจักรแอมะซอน ลงทุนจำนวน 20 ล้านเหรียญสหรัฐในโครงการ AWS Diagnostic Development Initiative เพื่อสร้างชุดการทดสอบโควิด-19 รวมทั้งยังช่วยสนับสนุนการจ้างงานเต็มเวลาและพาร์ตไทม์ 100,000 ตำแหน่งทั่วสหรัฐอเมริกา ตลอดจนเพิ่มค่าจ้างรายชั่วโมงในอเมริกาและทั่วโลก โดยแอมะซอนยังบริจาคเงิน 1 ล้านดอลลาร์ให้แก่กองทุนฉุกเฉินโควิด-19 ในวอชิงตัน ดี.ซี. และสร้างกองทุนบรรเทาทุกข์ 5 ล้านดอลลาร์สำหรับธุรกิจขนาดเล็ก และบริจาค 1 ล้านดอลลาร์ให้แก่มูลนิธิซีแอตเทิลใหม่เพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากไวรัสระบาดด้วย ขณะที่ “ลี กา-ชิง” นักลงทุนผู้มีอิทธิพลมากที่สุดในเอเชีย บริจาคเงิน 13 ล้านดอลลาร์เพื่อช่วยเหลือเมืองอู่ฮั่นซึ่งเป็นศูนย์กลางของการแพร่ระบาดของโรค ขณะเดียวกัน มูลนิธิของเขายังได้แจกจ่ายหน้ากากอนามัยจำนวน 250,000 ชิ้นแก่องค์กรสวัสดิการสังคมและที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุในฮ่องกง