xs
xsm
sm
md
lg

“วิชัย โภชนกิจ” เปิดใจหลังลาออก ยอมรับหา “หน้ากากอนามัย” ให้ทุกคนใช้ยากยิ่งกว่าเข็นภูเขาขึ้นครก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



"วิชัย โภชนกิจ" เปิดใจหลังยื่นใบลาออก เผยได้พักแล้วหลังโหมงานหนัก รู้สึกโล่งเหมือนยกภูเขาออกจากอก ยอมรับหาหน้ากากอนามัยให้ทุกคนใช้เป็นงานหินที่สุดจากปริมาณที่จำกัด ยากยิ่งกว่าเข็นภูเขาขึ้นครก ย้ำเรื่องส่งออกทำให้รู้สึกแย่ทั้งๆ ที่ทำตามเงื่อนไข ไม่เคยไม่โปร่งใส ส่วนสต๊อก 200 ล้านชิ้นเป็นแค่การรายงานตัวเลขของโรงงานถ้าผลิตกันเต็มที่ 4-5 เดือน พร้อมแจ้งข่าวดี 18 มี.ค.นี้การผลิตน่าจะทำได้วันละ 2 ล้านชิ้น ส่งสาธารณสุข 1.1 ล้านชิ้น น่าจะเพียงพอใช้รับมือโควิด-19 ส่วนเรื่องน่าห่วง คนไทยแห่กักตุนสินค้าทั้งที่กำลังผลิตยังมีเพียงพอ

ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงพาณิชย์ว่า นายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน ได้เดินทางมายังห้องประชุมกรมการค้าภายใน ชั้น 6 เพื่อให้นโยบายและอำลาข้าราชการ หลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ได้ลงนามในคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง “ให้ข้าราชการมาปฏิบัติราชการสำนักนายกรัฐมนตรี” โดยมีเจ้าหน้าที่ข้าราชการกรมการค้าภายในมาให้กำลังใจและมอบดอกกุหลาบจำนวนมาก รวมถึงมีสื่อมวลชนมารอทำข่าวกันเป็นจำนวนมากด้วย โดยบรรยากาศในการอำลา นายวิชัย และข้าราชการต่างก็มีน้ำตาคลอและร้องไห้ในบางช่วง

นายวิชัยกล่าวภายหลังการกล่าวอำลาข้าราชการกรมการค้าภายในว่า ได้เก็บของออกจากห้องทำงานหมดแล้ว และได้ยื่นหนังสือลาออกต่อปลัดกระทรวงพาณิชย์แล้ว แต่ปลัดกระทรวงพาณิชย์จะเซ็นอนุมัติเมื่อไรไม่ทราบ แต่ในหนังสือจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 23 เม.ย. 2563 และตอนนี้ก็ได้ยื่นลาพักร้อนไปแล้วด้วย ซึ่งหลังจากนี้จะได้ไปพักผ่อนร่างกาย หลังจากที่ได้ทุ่มเท หักโหมการทำงานมาโดยตลอด ส่วนกรณีที่นายกฯ ได้ลงนามในคำสั่งนั้นต้องถามคนย้าย แต่หากมองในแง่ดีถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะก่อนหน้านี้ตนได้ทำงานอย่างหนักจนต้องผ่าตัดสมองมาแล้วครั้งหนึ่ง จนปัจจุบันก็ยังมีปัญหาสุขภาพต่อเนื่อง ตอนนี้หมดความเครียดแล้ว โล่ง เหมือนยกภูเขาออกจากอก

"ยอมรับว่าปัญหาหน้ากากอนามัยถือเป็นงานหินที่สุด ไม่ใช่แค่วิชัย ต่อให้ 100 วิชัยก็แก้ไม่ได้เพราะเราติดกระดุมเม็ดแรก คือทุกคนต้องมีหน้ากากใส่ มีหน้ากากอนามัย 1.2 ล้านชิ้น คนไทย 65 ล้านคน ความคิดทุกคนต้องมี ไม่สามารถทำได้ ถ้าคิดเฉลี่ย 1 ผืน จะมีคนใช้ถึง 55 คนต่อวัน อัตราส่วนแบบนี้ เป็นการเดินที่ผิดพลาดมาตั้งแต่ต้น ครั้งแรกบริหารแบบปันส่วน (ดึงมา 5 แสนชิ้นต่อวัน ที่เหลือโรงงานขายเอง) อย่างไรก็ไม่พอ ต่อมามีปัญหาแพทย์ขาด บุคลากรทางการแพทย์ขาด ทุกคนรับไม่ได้ สุดท้ายยึดมาทั้งหมด 1.2 ล้านชิ้น ไม่ใช่ยึดของ เอาตัวเลขมาบริหารจัดการสั่งจ่ายจากโรงงานไปปลายทาง ลำดับแรก 7 แสนชิ้นให้โรงพยาบาลรัฐ เอกชน บุคลากรทางการแพทย์ ผู้ป่วย พาณิชย์บริหาร 5 แสนชิ้น ให้คนไทย 60 กว่าล้านคน เป็นไปไม่ได้เลยที่จะได้รับทุกคน เป็นการเอาตะเกียบ ไม้จิ้มฟันอันเดียวงัดไม้ซุง จับภูเขาขึ้นครกยังง่ายกว่าให้คนมีหน้ากากใช้ทุกคน"

ทั้งนี้ หลังจากนำมาบริหารจัดการเองทั้งหมดตั้งแต่วันที่ 4 มี.ค. 2563 ได้บริหารไปแล้ว 15 ล้านชิ้น ผ่านสาธารณสุข 8.5 ล้านชิ้น ผ่านกรมการค้าภายใน 7 ล้านชิ้น โดยทำหน้าที่ทุกอย่างตั้งแต่การทำตลาด ขนส่ง เป็นทั้งผู้จัดการฝ่ายผลิต จัดซื้อ และขนส่งจากโรงงานถึงปลายทาง ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่รู้สึกแย่ ก็คือเรื่องการอนุญาตให้ส่งออก เพราะเป็นเรื่องที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ โรงงานที่มาลงทุนผลิตเพื่อส่งออกได้บีโอไอไม่มีเงื่อนไขเปิดช่องให้เขาขายในประเทศได้ ถ้าทำแบบนั้น เขาก็จะเป็นนักลงทุนธรรมดา สิทธิประโยชน์ต่างๆ ก็ไม่ได้ ถ้าเราไม่อนุญาต เขาจะมาลงทุนทำไม อีกกรณี มีเงื่อนไขจ้างผลิต มีเครื่องหมายการค้า มีคำสั่งทำเป็นล็อตๆ หน้ากากนี้ขายในไทยไม่ได้ ถ้าทำพาณิชย์จะผิดกฎหมายเสียเอง เพราะเป็นผู้รักษากฎหมาย ความผิดร้ายแรงกว่าคนอื่น และกรณีสุดท้าย เป็นหน้ากากที่หมอไทยไม่ใช้ ซึ่งการอนุญาตให้ส่งออกที่ผ่านมาไม่เคยปิดบัง ไม่ทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และไม่ได้เป็นกรรมการในชุดที่อนุญาตด้วยซ้ำ โดยตัดวงจรนี้ออกไป ไม่อยากถูกกล่าวหา และภาพรวมขอส่งออกมา 53 ล้านชิ้น อนุญาตไป 12.7 ล้านชิ้น จากนั้นมีอีก 3-4 ล้านชิ้น ไม่ได้ปิดบัง ทำให้โปร่งใสตลอด แต่ก็มีคนยกมาเป็นประเด็นจนได้ ก้าวล่วงไปจนให้ส่งออก 330 ตัน ซึ่งได้แจ้งดำเนินคดีแล้ว เพราะทำให้กรมการค้าภายในเสียชื่อเสียง

ขณะที่ตัวเลข 200 ล้านชิ้น จริงๆ มันคือสต๊อกสูงสุดที่จะผลิตได้ ตอนนั้นคำนวณกัน ถ้าผลิต 4-5 เดือนจะมีสต๊อกได้สูงสุด 200 ล้านชิ้น ซึ่งอาจจะมีการสื่อสารผิดพลาด คนก็เลยเข้าใจว่าตอนนั้นไทยมีสต๊อกอยู่ 200 ล้านชิ้น แต่ก็แปลก พูดเรื่องจริงไม่มีคนเชื่อ เพราะจากนั้นก็ได้ไปตรวจสอบก็ไม่เจอ

นายวิชัยกล่าวอีกว่า สถานการณ์ล่าสุด กรมฯ ได้ขอร้องให้โรงงานผลิตทั้ง 11 โรงปรับสายการผลิต ปรับเครื่องจักรเพื่อผลิตหน้ากากอนามัยเพิ่ม ทำให้สัปดาห์ที่ผ่านมาเพิ่มจาก 1.56 ล้านชิ้นต่อวัน เป็น 1.71 ล้านชิ้นต่อวัน และภายในวันที่ 18 มี.ค. 2563 น่าจะเพิ่มเป็น 2 ล้านชิ้นต่อวัน โดยมีเป้าที่ 2.2 ล้านชิ้นต่อวัน ซึ่งในจำนวน 2 ล้านชิ้นที่จะมีนี้ 1.1 ล้านชิ้นจะไปที่สาธารณสุข ซึ่งสาธารณสุขยืนยันว่า 1.1 ล้านชิ้นต่อวันเพียงพอในการเตรียมรับมือการแพร่ระบาดระยะที่ 3 ส่วนที่เหลือกรมฯ จะกระจายให้ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงและประชาชนทั่วไป

ส่วนเรื่องที่น่าห่วง ก็คือ คนไทยเวลาตื่น น่ากลัวมาก สื่อออกมาสินค้าหมดชั้นวาง ถ้าจุดเป็นกระแส สร้างกระแสให้กักตุนสินค้า จะแรงกว่าหน้ากากอนามัย แรงกว่าเจลล้างมือ สุดท้ายภาระจะตกมาที่กรมการค้าภายใน ซึ่งที่ผ่านมาเคยเรียกผู้ผลิตมาคุยแล้ว ผลิตอยู่ 70% ก็บอกให้ผลิตเต็ม 100% เพราะถ้าไม่สร้างความเชื่อมั่น ปัญหาจะจุดติด ต้องระวัง


กำลังโหลดความคิดเห็น