กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศกางแผนรับมือหลังเบร็กซิต เตรียมเจรจากับอียูและยูเคแก้ไขตารางข้อผูกพันโควตาภาษี เร่งทำรายงานทบทวนนโยบายการค้า ศึกษาการทำเอฟทีเอ และสร้างความตื่นตัวรับมือเบร็กซิต พร้อมเดินหน้าชี้เป้าผลประโยชน์ของไทย และเร่งตรวจสอบปัญหาอุปสรรคก่อนผลักดันแก้ไข
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยในการเปิดการสัมมนาเรื่อง “เข้าใจ Brexit พลิกสัมพันธ์การค้ากับยุโรป” ว่า กรมฯ ได้ร่วมกับสถานเอกอัครราชทูต สหราชอาณาจักร ประจำประเทศไทย และสภาผู้นำธุรกิจไทย-สหราชอาณาจักร (ยูเค) จัดงาน “เข้าใจ Brexit พลิกสัมพันธ์การค้ากับยุโรป” เพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับทราบถึงสถานการณ์ล่าสุด และการเตรียมความพร้อมของไทย รวมถึงแผนการทำงานของกรมฯ ที่จะนำมาใช้รองรับกรณีที่ยูเคจะออกจากสหภาพยุโรป (อียู) อย่างสมบูรณ์ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2564
ปัจจุบันกรมฯ มีแผนการทำงานรับมือ 4 ด้าน คือ 1. เจรจากับอียูและยูเค ในฐานะสมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO) เพื่อแก้ไขตารางข้อผูกพันโควตาภาษีภายใต้ WTO เนื่องจากทั้งยูเคและอียูจะต้องมีการจัดสรรโควตาใหม่ให้กับสมาชิก WTO รวมทั้งไทย ในสินค้า เช่น มันสำปะหลัง แป้งมันสำปะหลัง ข้าวขาว ข้าวกล้อง ข้าวหัก ผลิตภัณฑ์สัตว์ปีก ปลากระป๋อง เป็นต้น โดยยึดหลักการว่าโควตาใหม่ที่ไทยจะได้รับจัดสรรจากทั้งยูเคและอียู เมื่อรวมกันแล้วจะต้องไม่น้อยกว่าที่ไทยเคยได้รับเมื่อสมัยยูเคยังรวมอยู่ในอียู 2. จัดทำรายงานการทบทวนนโยบายการค้าระหว่างไทยdy[ยูเค หรือ Trade Policy Review (TPR) เพื่อศึกษาภาพรวมการค้าระหว่างสองฝ่าย โอกาสในการขยายการค้าและการลงทุนในสาขาธุรกิจที่ไทยสนใจ หรือมีศักยภาพในตลาดยูเค รวมถึงมาตรการของยูเคที่จะเป็นอุปสรรคต่อการค้าการลงทุนของไทย เพื่อเป็นพื้นฐานในการจัดทำข้อตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ระหว่างกันในอนาคต โดยผลการจัดทำรายงานกำหนดแล้วเสร็จในเดือน มี.ค. 2563 3. ศึกษาความเป็นไปได้ในการทำเอฟทีเอระหว่างไทยกับยูเค และ 4. ร่วมกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์สร้างความตระหนักเรื่องเบร็กซิตและการเตรียมการของไทย
นอกจากนี้ จะเร่งชี้ให้เห็นถึงโอกาสของผู้ประกอบการไทยในตลาดยูเค โดยเบื้องต้นพบว่าสาขาธุรกิจ อุตสาหกรรมเป้าหมายที่ไทยมีศักยภาพ เช่น เกษตรกรรมและการผลิตอาหาร (เนื้อไก่ ผลไม้ อาหารเสริม และอาหารสัตว์เลี้ยง) การประมง (อาหารทะเลแปรรูปและแช่แข็ง ปลาทูน่า กุ้ง) ยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ยางและผลิตภัณฑ์ยาง ภาคบริการและลงทุนที่ไทยมีศักยภาพ เช่น การท่องเที่ยว การขนส่ง การเงิน โทรคมนาคม และการก่อสร้าง
ขณะเดียวกัน เตรียมพิจารณามาตรการภาษีและที่มิใช่ภาษีของยูเค ที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการค้าการลงทุนของไทยอะไรบ้าง เช่น การเก็บภาษีสูงในสินค้าเกษตรและประมง การกำหนดมาตรการสุขอนามัยที่มีมาตรฐานสูง โดยเฉพาะระดับสารปนเปื้อน และสารเคมีตกค้าง ตลอดจนมาตรฐานทางเทคนิคต่างๆ เช่น การติดฉลากและบรรจุภัณฑ์ มาตรการ IUU ที่ต่อต้านสินค้าประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการควบคุม เป็นต้น ซึ่งไทยจะนำรายงานทบทวนนโยบายการค้าที่จัดทำหารือกับฝ่ายยูเคที่มีการจัดทำรายงานนโยบายการค้าของไทยเช่นกันเพื่อจัดทำเป็นรายงานร่วมกัน และจะนำไปสู่การหารือเพื่อแก้ไขปัญหาอุปสรรค ส่งเสริมความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนระหว่างกัน
ทั้งนี้ กรมฯ ขอให้ผู้ประกอบการไทยที่ผลิตสินค้าเพื่อส่งออกไปยูเคติดตามสถานการณ์ตลาด กฎระเบียบทางการค้าของยูเค และศึกษาความต้องการของผู้บริโภคยูเคอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะข้อมูลเกี่ยวกับมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย สวัสดิภาพของแรงงาน และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เพื่อเตรียมปรับตัววางแผนกลยุทธ์การเข้าถึงตลาดและการกระจายสินค้าของไทยเข้าสู่ตลาดยูเคต่อไป
ปัจจุบันยูเคเป็นคู่ค้าอันดับที่ 21 ของไทย ในปี 2562 มีมูลค่าการค้าระหว่างกัน 6.26 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยไทยส่งออกไปยูเค 3.84 พันล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ ไก่แปรรูป รถยนต์และส่วนประกอบ รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ แผงวงจรไฟฟ้า และไทยนำเข้าจากยูเค 2.42 พันล้านเหรียญสหรัฐ สินค้านำเข้าสำคัญ ได้แก่ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ แผงวรจรไฟฟ้า เครื่องดื่มประเภทน้ำแร่ น้ำอัดลม และสุรา เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ สบู่ ผงซักฟอก และเครื่องสำอาง