กรมพัฒนาธุรกิจการค้าตรวจสภาพรถราชการทุกประเภท เพื่อป้องกันการปล่อยมลพิษและก่อให้เกิด PM 2.5 ตามนโยบาย “ปลัดพาณิชย์”แล้ว ผลการตรวจสอบอยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อมใช้งาน เผยยังได้เดินหน้าลดการใช้พลังงาน ทั้งไฟฟ้าและน้ำมัน เพื่อช่วยประหยัดงบประมาณอีกด้วย
นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า กรมฯ ได้ดำเนินการตรวจสภาพรถราชการตามข้อสั่งการของนายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ที่ขอให้หน่วยงานภายในกระทรวงพาณิชย์ เร่งสำรวจสภาพรถราชการทุกประเภท ประกอบด้วย รถประจำตำแหน่ง รถส่วนกลาง รถรับรอง และรถรับรองประจำจังหวัด มิให้มีมลพิษทางอากาศและระดับเสียงจากท่อไอเสียที่เกินจากระดับมาตรฐานที่กรมควบคุมมลพิษกำหนด เนื่องจากสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน หรือ PM 2.5 กำลังสร้างปัญหาด้านสุขภาพอนามัยและการดำเนินชีวิตของประชาชน เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยผลการตรวจสอบรถราชการของกรมฯ ทั้งประเภทเครื่องยนต์ดีเซลและเบนซินทุกคันอยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อมใช้งาน
สำหรับค่ามาตรฐานตามที่กรมควบคุมมลพิษกำหนดของมลพิษทางอากาศที่ถูกปล่อยออกมาจากรถเครื่องยนต์ดีเซลค่าควันดำต้องไม่เกินร้อยละ 50 กรณีจอดรถอยู่กับที่และไม่มีสัมภาระ สำหรับเครื่องยนต์เบนซินต้องมีความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) ไม่เกินร้อยละ 0.5 และก๊าซไฮโดรคาร์บอน (HC) ไม่เกิน 100 ppm (รถยนต์ที่จดทะเบียนตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2550) และมาตรฐานมลพิษทางเสียงของเครื่องยนต์ทั้ง 2 ประเภทต้องไม่เกิน 100 เดซิเบล (dBA) (รถยนต์ที่จดทะเบียนตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2557)
นายวุฒิไกรกล่าวว่า ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ยังได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานภายในกระทรวงพาณิชย์กำหนดมาตรการประหยัดพลังงานเพื่อช่วยลดมลพิษทางอากาศ และประหยัดงบประมาณของประเทศ โดยกำชับให้ทุกหน่วยงานถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ซึ่งมาตรการประหยัดพลังงานนี้ กรมฯ ได้แต่งตั้งคณะทำงานเพื่อรับผิดชอบการลดการใช้พลังงานขึ้นโดยเฉพาะ เพื่อกำกับดูแลให้เห็นผลเป็นรูปธรรมอย่างชัดเจน ประกอบด้วย 1.มาตรการลดการใช้ไฟฟ้า และ 2.มาตรการลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งมาตรการฯ ดังกล่าว หากประสบผลสำเร็จ จะช่วยให้กรมฯ สามารถประหยัดงบประมาณได้ประมาณร้อยละ 5 ของงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรจากรัฐบาล
“การลดมลพิษทางอากาศและระดับเสียงจากท่อไอเสียของรถราชการ และมาตรการประหยัดพลังงาน ถือเป็นนโยบายสำคัญที่รัฐบาลให้ความใส่ใจมาโดยตลอดและได้กำหนดให้เป็นตัวชี้วัดการปฏิบัติราชการของทุกหน่วยงานราชการที่ต้องปฏิบัติให้ประสบผลสำเร็จ ซึ่งจะก่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ด้านการบริหารจัดการองค์กร และร่วมเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมของประเทศและของโลกให้ดำรงอยู่ตลอดไป”นายวุฒิไกรกล่าว