xs
xsm
sm
md
lg

กรมเจรจาฯ ดันเกษตรกร ผู้ประกอบการโคนม ใช้ประโยชน์เอฟทีเอส่งออกต่างประเทศ

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศลุยต่อ ลงพื้นที่ผลักดันเกษตรกร สหกรณ์ ผู้ประกอบการโคนม ใช้เอฟทีเอบุกตลาดต่างประเทศ รอบนี้นำ “แมรี่ แอน แดรี่ โปรดักส์ - ไทย-เดนมาร์ก – บุญเกียรติไอศกรีม” ผู้เคยประสบความสำเร็จมาร่วมแชร์ประสบการณ์ เผยล่าสุดมี 14 ประเทศคู่เจรจาเอฟทีเอที่ไม่เก็บภาษีนำเข้าจากไทย พร้อมแนะแนวทางรับมือเปิดเสรีนมและผลิตภัณฑ์จากออสเตรเลียและนิวซีแลนด์

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยหลังเป็นประธานเปิดงานสัมมนา “ต่อยอดนมโคไทย ผลักดันใช้เอฟทีเอ” ซึ่งกรมฯ ร่วมกับกรมปศุสัตว์ จัดขึ้นเมื่อวันที่ 28 ม.ค.2563 ณ โรงแรมเซอร์เจมส์ รีสอร์ทแอนด์คันทรีคลับ อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี ว่า ได้เชิญผู้ประกอบการนมและผลิตภัณฑ์นมของไทยที่เข้าร่วมโครงการ “จัดทัพโคนมไทย บุกตลาดด้วยเอฟทีเอ” ที่กรมฯ จัดขึ้น และพาไปบุกตลาดนมและผลิตภัณฑ์นมในประเทศคู่เจรจาเอฟทีเอที่เซี่ยงไฮ้ ในปี 2561 และสิงคโปร์ ในปี 2562 เช่น บริษัท แมรี่ แอน แดรี่ โปรดักส์ จำกัด , สหกรณ์โคนมไทย-เดนมาร์ก ห้วยสัตว์ใหญ่ และบริษัท บุญเกียรติไอศกรีม จำกัด เป็นต้น มาร่วมเสวนาแบ่งปันประสบการณ์ เรื่อง “โอกาสในการทำตลาดนมและผลิตภัณฑ์นมในต่างประเทศ ด้วยการใช้ประโยชน์จากความตกลงเอฟทีเอ” ให้กับเกษตรกร และผู้ประกอบการนมที่เข้าร่วมกว่า 180 คน ซึ่งสามารถช่วยสร้างแรงบันดาลใจในการเพิ่มศักยภาพและคุณภาพนมไทย และมีความต้องการที่จะขยายตลาดออกสู่ตลาดต่างประเทศโดยใช้ประโยชน์จากเอฟทีเอ

“ได้บอกกับเกษตรกรและผู้ประกอบการโคนมว่าปัจจุบันสินค้านมและผลิตภัณฑ์นมของไทยสามารถส่งออกไปยัง 14 ประเทศคู่เอฟทีเอโดยไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า ได้แก่ อาเซียน จีน ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ชิลี และฮ่องกง ซึ่งสามารถใช้ประโยชน์ในการส่งออกสินค้าของไทยออกไปขายได้”

ทั้งนี้ มีสถิติยืนยันโดยโดยการส่งออกนมและผลิตภัณฑ์นมในปี 2562 ที่ผ่านมา มีมูลค่า 536 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 12% สินค้าส่งออกสำคัญ เช่น นมเปรี้ยวและโยเกิร์ต นมพร้อมดื่มยูเอชที นมถั่วเหลืองที่มีนมผสม นมและครีมที่ไม่เติมน้ำตาล เป็นต้น มีตลาดส่งออกสำคัญ คือ อาเซียน มีมูลค่า 443 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 15% หรือมีสัดส่วนกว่า 83% ของการส่งออกทั้งหมดของไทย และมีตลาดสำคัญรองลงมา คือ จีน ฮ่องกง ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป (มีเนเธอร์แลนด์เป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับ 1 ในสหภาพยุโรป) ซึ่งในตลาดสำคัญเหล่านี้ จะเห็นได้ว่าเป็นตลาดที่ทำเอฟทีเอกับไทยเกือบทั้งหมด ยกเว้นสหภาพยุโรป ที่ไม่มีเอฟทีเอ แต่ก็อยู่ในแผนที่จะเจรจาทำเอฟทีเอ

ขณะเดียวกัน กรมฯ ได้ใช้โอกาสนี้ แนะนำและช่วยเตรียมความพร้อมในกรณีที่ไทยต้องเปิดตลาดให้กับผลิตภัณฑ์นมจากออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ที่จะเกิดขึ้นในปี 2563-2568 หลังจากที่ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ได้เปิดตลาดโดยยกเลิกการเก็บภาษีศุลกากรกับสินค้าส่งออกจากไทยทุกรายการแล้วตั้งแต่ปี 2558

นอกจากนี้ ได้ไปสำรวจศักยภาพของบริษัท แมรี่ แอนด์ แดรี่ โปรดักส์ จำกัด ที่อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ซึ่งเป็นบริษัทที่มุ่งสร้างนวัตกรรมที่แตกต่างในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าทางโภชนาการต่อสุขภาพ และมีจุดเด่นเรื่องการจัดการฟาร์มโดยใช้เทคโนโลยีและระบบสารสนเทศ และกระบวนการผลิตสินค้านมที่เน้นยกระดับมาตรฐานการผลิต และได้เข้าร่วมงาน “เทศกาลโคนมแห่งชาติ” ประจำปี 2563 ณ องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) สระบุรี โดยร่วมจัดนิทรรศการแสดงความสำเร็จการดำเนินงานโครงการ “จัดทัพโคนมไทย บุกตลาดด้วยเอฟทีเอ” ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา และแผนงานในปีที่ 3 ที่กำลังดำเนินการอยู่ เพื่อสร้างโอกาสในการทำตลาดต่างประเทศโดยใช้ประโยชน์จากเอฟทีเอให้กับเกษตรกรและผู้ประกอบการนมของไทย


กำลังโหลดความคิดเห็น