ภัยแล้ง ถูกเป่าเสียจนเป็นปรากฏการณ์วิกฤต ราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ลองหวนกลับไปทบทวนความจำที่ไม่ยาวนานนัก ฤดูฝนปี 2562 ทุกหน่วยงานด้านน้ำโดยเฉพาะสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เฝ้าจับตามอง พร้อมเฝ้าเตือนถึงอาการไม่พึงปกติของสภาพภูมิอากาศของโลก และของไทย
ก่อนเข้าสู่ฤดูฝน (1 พฤษภาคม-31 ตุลาคม 2562) กรมอุตุนิยมวิทยาก็ออกข่าวพยากรณ์อากาศฤดูฝน ฝนมาล่าปลายเดือนพฤษภาคม และปริมาณฝนจะน้อยกว่าค่าเฉลี่ย 5-10% อันเนื่องมาจากปรากฏการณ์เอลนิโญกำลังอ่อน (Weak El Nino)
สุดท้าย ฝนน้อยจริง แถมน้อยกว่าค่าเฉลี่ยถึง 17% โดยทิ้งช่วงนานราว 2 เดือน เริ่มตกจริงในเดือนกรกฎาคม 2562 ถ้าปลายฤดูฝนไม่มีพายุโพดุลเข้ามาเติม ประเทศไทยจะเผชิญปัญหาแล้งปี 2562/2563 หนักหน่วงกว่านี้
“สทนช.ส่งสัญญาณเตือนครั้งใหญ่อย่างน้อย 2 ครั้งในเดือนกรกฎาคมและเดือนตุลาคมว่า ฝนน้อย ปริมาณน้ำน้อย ให้ทุกเขื่อนพยายามเก็บน้ำทุกหยดไว้ให้ได้มากที่สุด ดูตัวเลขน้ำในเขื่อนขนาดใหญ่และขนาดกลางมีจำนวนมากมีน้ำน้อยกว่า 30% ของความจุอ่าง” ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการ สทนช. ย้อนกลับไปฤดูฝนปี 2562 ที่เพิ่งผ่านพ้นมาไม่ได้กี่เดือน
ว่ากันที่จริง ปัญหาน้ำน้อยจนพัฒนาเป็นภัยแล้งรับรู้กันดีในช่วงฤดูฝน แต่พอห่างออกมาพักเดียว ความทรงจำของผู้คนก็เลือนราง ภัยแล้งเป็นผลจากฤดูฝนทั้งสิ้น ซึ่งในปี 2562 เกิดปรากฏการณ์แล้งกลางฤดูฝนจากฝนทิ้งช่วงนาน ต้องระดมทำฝนหลวงมากกว่า 5,000 เที่ยวบินเพื่อช่วยเติมน้ำ นอกเหนือจากน้ำฝนธรรมชาติเพียงอย่างเดียว
“สิ่งที่เราต้องทำ คือทำความเข้าใจร่วมกันระหว่างหน่วยงานด้านน้ำในทิศทางเดียวกัน ช่วยให้ประชาชนเห็นภาพรวม และเข้าใจสถานการณ์น้ำ ต่อไปก็คือการติดตามกำกับหน่วยงานต่างๆ ว่าได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาภัยแล้งระยะสั้น กระทั่งในระยะต่อไปอย่างไร”
สทนช. และทีมงานโฆษกรัฐบาลประชุมร่วมกับหน่วยประชาสัมพันธ์ของแต่ละหน่วยงาน ทำความเข้าใจถึงสถานการณ์น้ำและการสื่อสารทำความเข้าใจกับประชาชน หลังจัดตั้งคณะอำนวยการน้ำแห่งชาติเมื่อ 10 มกราคม 2563 โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้อำนวยการ เลขาธิการ สทนช. เป็นรองผู้อำนวยการ และรองเลขาธิการ สทนช.เป็นเลขานุการ
การแก้ไขปัญหาภัยแล้งปี 2562/2563 รัฐบาลจึงมุ่งจัดหาน้ำอุปโภคบริโภคในพื้นที่เสี่ยง 40-50 จังหวัด ผ่านมติ ครม. และการเผยแพร่ข่าวสารทางสื่อต่างๆ เพื่อให้ทุกฝ่ายตระหนักถึงการป้องกันมากกว่าแก้ไขภายหลัง แม้จะไม่มีน้ำพอสำหรับทุกภาคส่วน อย่างเช่น ภาคเกษตรกรรม เป็นต้น
กลไกที่ต้องเร่งให้การแก้ไขเริ่มได้เร็วขึ้นคืองบประมาณ ซึ่งรัฐบาลจัดงบกลางไว้แล้ว แต่ยังต่างหน่วยต่างทำยังไม่สอดประสานในทิศทางเดียวกัน เหมือนเล่นดนตรีคนละคีย์ นานวันเข้า น้ำจะยิ่งขาดแคลนมากขึ้น ทุกหน่วยต้องร่วมมือกันมากขึ้น โดยเฉพาะยังต้องดักปัญหาต่อเนื่องจากฤดูแล้งคือฤดูฝนที่กรมอุตนิยมวิทยาพยากรณ์ว่าจะมาช้าและน้อย จะเป็นปัญหาแล้งกลางฤดูฝนอีกรอบเหมือนปี 2562
“รัฐบาลจึงเตรียมระดมโครงการจากท้องถิ่นและจากส่วนราชการ ทั้งจากงบปี 2563 และอาจขอเพิ่มให้เริ่มโครงการพัฒนาแหล่งน้ำหรือฟื้นฟูแหล่งน้ำธรรมชาติที่มีมากกว่า 1 แสนแห่งให้ทันรับฤดูฝนปี 2563 นี้” ดร.สมเกียรติกล่าว
นอกจากนั้น เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำซาก รัฐบาลยังเร่งรัดโครงการแหล่งน้ำขนาดใหญ่ ขนาดกลางและชุดของโครงการขนาดเล็ก สำหรับวางรากฐานในงบประมาณปี 2564
“ถ้างบประมาณไม่พอก็ต้องใช้วิธีกู้เงินมาพัฒนาโครงการ เพื่อให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์น้ำระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2561-2580)” เลขาธิการ สทนช.กล่าวทิ้งท้าย
หากใช้รูปรอยการแก้ไขปัญหาแบบเดิมๆ มุ่งแต่แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ปัญหาน้ำจะเกิดขึ้นทุกฤดู ไม่ว่าฤดูฝนหรือฤดูแล้ง สร้างความหวั่นไหวให้ประชาชนที่เฝ้ามองการแก้ไขปัญหาน้ำของรัฐบาลไปในตัว ยาแรงครั้งนี้ น่าจะเปลี่ยนโฉมหน้าการแก้ไขปัญหาน้ำอีกมิติหนึ่ง