หากกล่าวถึงสถานการณ์น้ำในปีนี้เมื่อก้าวเข้าสู่ฤดูแล้งปี 2562/2563 (1 พฤศจิกายน 2562 - 30
เมษายน 2563) มีความคล้ายคลึงกับฤดูแล้ง 2561/2562 คือ ปริมาณน้ำน้อย และฤดูฝนก็เช่นเดียวกันที่ปริมาณน้ำฝนน้อยกว่าค่าเฉลี่ย และอาจมีฝนทิ้งช่วงยาวซึ่งต้องยอมรับว่าเป็นสถานการณ์ที่น่ากังวลไม่น้อยทีเดียวที่ต้องมีการบริหารจัดการน้ำต้นทุนที่มีอยู่เหล่านี้อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะน้ำเพื่ออุปโภคบริโภคที่ต้องมาก่อนกิจกรรมอื่น เนื่องจากกระทบกับประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศและเป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญต่อด้วยน้ำเพื่อรักษาระบบนิเวศ แล้วค่อยมาเป็นน้ำเพื่อเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม
จากสภาพอากาศที่แห้งแล้ง ปริมาณน้ำต้นทุนที่น้อยเป็นทุนเดิม แถมฝนยังทิ้งช่วงอีก สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) โดย ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการ สทนช.ติดตามสถานการณ์น้ำตลอด ได้ประชุมหน่วยงานเกี่ยวข้องครั้งสุดท้ายของปี 2562 เมื่อ 27 ธันวาคม 2562เพื่อประเมินสถานการณ์น้ำตลอดทั้งปี 2562 และพยากรณ์สถานการณ์น้ำในปี 2563เพื่อกำหนดมาตรการป้องกันและบรรเทาผลกระทบที่เกิดจากสถานการณ์แล้งในปีนี้
“ข้อมูลจากหน่วยงานเกี่ยวข้องสอดคล้องกันหมดว่า ฤดูแล้งจะเผชิญปัญหาขาดแคลนน้ำในวงกว้าง ในขณะเดียวกัน การพยากรณ์ฤดูฝนในปี 2563 ก็พบว่าปริมาณฝนน้อยเหมือนปีก่อนและมีฝนทิ้งช่วงนานเช่นเดียวกัน หรืออาจถึงขั้นต้องประกาศเลื่อนเวลาทำนาปี” ดร.สมเกียรติกล่าว
ช่วงฤดูแล้งฝนตกน้อยตามชื่ออยู่แล้ว มีเฉพาะเขตภาคใต้ที่ฝนเข้ามาปลายปี โดยช่วงเดือนพฤศจิกายนและธันวาคมที่ผ่านมาแม้ฝนจะตกมากจนเกิดน้ำท่วมก็เป็นพื้นที่ติดชายแดนมาเลเซีย ภาคใต้ปีนี้จึงประสบปัญหาภัยแล้งด้วยเช่นกัน ที่มีปริมาณน้ำเป็นน้ำเป็นเนื้อเป็นภาคตะวันตกแห่งเดียว ทั้งเขื่อนศรีนครินทร์ และเขื่อนวชิราลงกรณ์ เป็นที่พึ่งให้แก่พื้นที่ฝั่งขวาแม่น้ำท่าจีน และแม่น้ำเจ้าพระยา สำหรับการผลิตน้ำประปาคลองมหาสวัสดิ์ และใช้สกัดกั้นผลักดันน้ำเค็มบริเวณคลองบางกอกน้อยไม่ให้กระทบแหล่งน้ำดิบของการประปานครหลวง ที่ ต.สำแล อ.เมืองฯ จ.ปทุมธานี
“ปีนี้ภัยแล้งรุนแรงพอๆ กับปี 2558 ทั้งเรื่องปริมาณน้ำและการรุกล้ำของน้ำเค็มมาเร็วและรุนแรงมากกว่าปี 2558 การประปานครหลวง กับสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ ต้องทำแผนร่วมกันให้ชัดเจนเพื่อลดความเสี่ยงให้ได้ ซึ่ง สทนช.จะติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดและเป็นรูปธรรม”
ทั้งนี้ ข้อมูลสถานการณ์น้ำของ สทนช.บ่งชี้ภัยแล้งได้ดีทีเดียว โดยพบว่าแหล่งน้ำขนาดใหญ่ 14 แห่ง จาก 38 แห่ง และขนาดกลาง 91 แห่ง จาก 354 แห่ง มีปริมาณน้ำน้อยกว่า 30% ของความจุ
แหล่งน้ำขนาดใหญ่ 11 แห่ง ได้แก่ เขื่อนแม่กวง เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแม่มอก เขื่อนทับเสลา เขื่อนกระเสียว เขื่อนจุฬาภรณ์ เขื่อนอุบลรัตน์ เขื่อนลำพระเพลิง เขื่อนลำแซะ เขื่อนลำนางรอง เขื่อนป่าสักฯ เขื่อนคลองสียัด และเขื่อนหนองปลาไหล
แหล่งน้ำขนาดใหญ่ 27 แห่ง และขนาดกลาง 213 แห่ง มีปริมาณน้ำ 30-80% อันนี้ก็ยังแค่ประคับประคองตัวเองได้ในระดับหนึ่งเท่านั้นขึ้นอยู่กับว่าแต่ละแห่งมีปริมาณน้ำมากน้อยระดับใดในช่วงระหว่าง 30-80% ที่มีความมั่นคงสูงต้องมีปริมาณน้ำ 80-100% ซึ่งมีแหล่งน้ำขนาดกลาง 68 แห่ง แหล่งน้ำขนาดใหญ่ 3 แห่ง และมีน้ำมากกว่า 100% เป็นแหล่งน้ำขนาดกลาง 5 แห่ง ไม่มีแหล่งน้ำขนาดใหญ่เลย
แหล่งน้ำขนาดกลางแม้จะมีจำนวนมากถึง 354 แห่ง แต่นิยามความจุของแหล่งน้ำขนาดกลางมีตั้งแต่ 2-100 ล้านลูกบาศก์เมตร ฉะนั้นความจุรวมจึงไม่ได้มาก พื้นที่ส่งน้ำก็มีจำกัดผิดกับแหล่งน้ำขนาดใหญ่ความจุเกินกว่า 100 ล้าน ลบ.ม.ขึ้นไปทำหน้าที่เป็นตัวหลักในพื้นที่ชลประทานในทุกวันนี้
ปัญหาภัยแล้งเริ่มชัดเจนตามลำดับ พื้นที่การเกษตรหลายจังหวัด เริ่มมีภาพการขาดแคลนน้ำ ต้นข้าวเริ่มยืนต้นตาย บางแห่งผู้ว่าราชการจังหวัดประกาศงดทำนาปรังเพื่อรักษาน้ำไว้สำหรับอุปโภคบริโภค เฉพาะในเขตลุ่มน้ำเจ้าพระยามีการทำนาปรังมากร่วม 3 ล้านไร่ ซึ่งเชื่อว่าในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2563 มีโอกาสขาดแคลนน้ำค่อนข้างแน่นอนยิ่งเป็นการซ้ำเติมความแห้งแล้งหนักมือยิ่งขึ้น
ลมหนาวปลายปีและอาจขยายถึงต้นปี มีส่วนทำให้น้ำในแหล่งน้ำระเหยได้เร็วขึ้นและมากขึ้น
สทนช.ยังมองข้ามถึงฤดูฝน 2563 ข้อมูลจากหน่วยงานเกี่ยวข้องไม่ว่า กรมอุตุนิยมวิทยา สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ ล้วนให้คำยืนยันเหมือนกันว่า ปริมาณฝนน้อยไม่ต่างจากปีกลาย และฝนจะทิ้งช่วงยาวไม่น้อยกว่า 2 เดือน เช่นกันทำให้ต้องเลื่อนการปลูกข้าวนาปีที่อาศัยน้ำฝนเป็นหลักไปเป็นเดือนกรกฎาคมจากปกติจะเริ่มทำนาปีตั้งแต่เดือนพฤษภาคม
เป็นข้อมูลและภาพรวมสถานการณ์น้ำของประเทศที่ทุกภาคส่วนต้องตรียมการรับมือ ควรตระหนักโดยเฉพาะประชาชนคนไทยทุกคนในการ “ประหยัดน้ำ” เรื่องใกล้ตัวที่ไม่ยากที่จะลงมือทำ