“สนพ.” เกาะติดราคาน้ำมันโลกใกล้ชิด หลังสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่าน รอลุ้น “สนธิรัตน์” ถก กบน. 10 ม.ค.เคาะแนวทางบริหารจัดการ แย้มกรอบดูแลพร้อมตรึงดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตรแน่นอน
นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) วันที่ 10 ม.ค. 63 ที่มีนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน เป็นประธานจะมีการติดตามสถานการณ์ราคาน้ำมันหลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้มีมติลดการจัดเก็บเงินจากองทุนฯ เมื่อวันที่ 26 ธ.ค. - 10 ม.ค.63 เพื่อมอบของขวัญปีใหม่ทำให้ลดราคาขายปลีกน้ำมันได้ 1 บาทต่อลิตร แต่เมื่อครบกำหนดแล้วราคาจะกลับมาเพิ่มขึ้นประกอบกับราคาน้ำมันตลาดโลกที่มีทิศทางสูงจากความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่านจึงต้องมาพิจารณาแนวทางดำเนินการเพื่อไม่ให้ราคาน้ำมันกระทบต่อประชาชนจนเกินไป อย่างไรก็ตาม นโยบายหลักก่อนหน้าได้วางกรอบที่จะดูแลราคาน้ำมันขายปลีกกลุ่มดีเซล (บี 10) ไม่ให้เกินกรอบ 30 บาทต่อลิตรไว้แล้ว
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบระยะสั้นได้รับผลกระทบจากปัญหาความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่าน โดยราคาน้ำมันดิบดูไบปรับเพิ่มขึ้นถึง 6% จากเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2563 ซึ่งอยู่ที่ 65.6 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เป็น 69.6 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ในวันที่ 6 มกราคม 2563 ซึ่ง สนพ.จะคอยติดตามและประเมินสถานการณ์ผลกระทบจากเหตุการณ์นี้อย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ตาม กรอบที่เคยวางไว้เบื้องต้นหากดูไบ 80 เหรียญสหรัฐ ที่จะมีผลให้ราคาขายปลีกดีเซล (บี 10) เกิน 30 บาทต่อเหรียญฯ คงจะต้องใช้กลไกกองทุนน้ำมันดูแลจากปัจจุบันราคาดีเซลบี 10 อยู่ที่ 25.39 บาทต่อลิตร เพื่อบรรเทาผลกระทบประชาชนในช่วงราคาน้ำมันผันผวน
“กองทุนน้ำมันฯ เมื่อครบกำหนดวันที่ 11 ม.ค. ราคาขายปลีกจะกลับมาขึ้น 1 บาทต่อลิตร แต่ราคาตลาดโลกที่สูงขึ้นก็คงจะต้องมาดูว่ากลไกกองทุนฯ จะเข้ามาบริหารจัดการอย่างไรในระยะสั้นในวันที่ 10 ม.ค.นี้ แต่เกณฑ์สำคัญคือถ้าน้ำมันโลกขึ้น 5 เหรียญต่อบาร์เรลใน1สัปดาห์ก็จะดูแล และรัฐวางกรอบไว้แล้วว่าถ้าดูไบ 80 เหรียญต่อบาร์เรล ที่จะมีผลให้ราคาขายปลีกดีเซล บี 10 เกิน 30 บาทต่อลิตร” นายวัฒนพงษ์กล่าว
สำหรับราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (แอลพีจี) ขณะนี้ยอมรับว่าราคาตลาดโลกได้ปรับขึ้นสูงมาก ล่าสุดเคลื่อนไหวอยู่ที่ 530 เหรียญสหรัฐต่อตัน โดยปรับขึ้นจากช่วงปลายปีที่ราคาอยู่ราว 300 กว่าเหรียญฯ ต่อตัน เนื่องจากเป็นช่วงฤดูหนาวที่ความต้องการใช้จะสูงในแถบยุโรป และสหรัฐฯ ซึ่งขณะนี้รัฐก็ยังคงดูแลแอลพีจีถังขนาด 15 กิโลกรัม (กก.) ไม่เกิน 353 บาทต่อถัง โดยใช้กลไกกองทุนน้ำมันฯ ตามมติเดิมที่กำหนดไว้ในกรอบวงเงินดูแลไม่เกิน 7,000 ล้านบาท ขณะนี้ใช้วงเงินรวมแล้วราวกว่า 5,200 ล้านบาท
นายวัฒนพงษ์กล่าวว่า ปี 2563 สนพ.ได้คาดการณ์ว่าการใช้พลังงานขั้นต้นปี 2563 จะเพิ่มขึ้น 1.8% จากการเพิ่มขึ้นของน้ำมัน ถ่านหิน/ลิกไนต์ พลังงานทดแทน ไฟฟ้านำเข้า และก๊าซธรรมชาติ ขณะที่การใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 2.6% จากปีก่อนเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศปรับตัวดีขึ้นอย่างช้าๆ จากการขับเคลื่อนมาตรการภาครัฐ การลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เป็นต้น
ส่วนแผนงานที่ สนพ.จะดำเนินการปี 2563 มีนโยบายที่จะเร่งดำเนินการปรับแผนพลังงาน 5 แผนเพื่อเสนอเข้าสู่การประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ภายในไตรมาสแรกโดยเฉพาะแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (พีดีพี 2018) ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 และแผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติที่ สนพ.ทำหน้าที่หลัก นอกจากนี้ยังจะทำงานร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ ในการผลักดันให้อี 20 เป็นน้ำมันพื้นฐาน เป็นต้น