“ศักดิ์สยาม”ลุยเมกะโปรเจ็กต์ ปี 63 เทงบลงทุนกว่า 3.46 แสนล. คาดเปิดศักราช ม.ค ประเดิม ชงครม. เคาะPPP รถไฟฟ้าสีส้ม 1.22 แสนล. และรถไฟสีแดง missing link 4.4 หมื่นล. พร้อมสั่งทุกหน่วยปรับแผนเร่งเบิกจ่ายงบ 63 เหลือเวลาไม่ถึง 8ด.
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้หน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงคมนาคม เร่งรัดดำเนินการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปี 2563 ตามนโยบายของ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ สำหรับเรื่องที่จำเป็นเร่งด่วน เช่น การดำเนินงานเพื่อบรรเทาและช่วยเหลือกรณีเกิดสาธารณภัยให้ของบประมาณกลางมาดำเนินการ
ซึ่งปีงบประมาณ 2563 คาดว่า จะสามารถเริ่มเบิกจ่ายได้เดือนก.พ. 2563 ทำให้เหลือเวลาในการใช้จ่ายงบเพียง 8 เดือน ดังนั้นทุกหน่วยงานต้องปรับแผนการทำงานให้สอดคล้องกับระยะเวลาที่เหลือ ส่วนการก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่นั้น ให้ใช้รูปแบบการก่อสร้างมอเตอร์เวย์ ที่มีการแบ่งงานก่อสร้างออกเป็นหลายสัญญา เพื่อเร่งรัดการก่อสร้างให้เร็วขึ้น
สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2563 กระทรวงคมนาคมมีงบลงทุนรวม 346,524.96 ล้านบาท แบ่งเป็น ทางบก 163,371.63 ล้านบาท ,ทางราง 126,419.32 ล้านบาท ทางอากาศ 48,637.53 ล้านบาท ทางน้ำ 7,791.96 ล้านบาท ด้านนโยบาย 304.52 ล้านบาท
ซึ่งจะมีการลงทุนมากกว่า 53 โครงการ โดยในช่วงเดือนม.ค. 2563 คาดว่าจะสามารถเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อขออนุมัติโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ตะวันตก ลงทุนด้านโยธา ช่วงศูนย์วัฒนธรรมฯ-บางขุนนนท์ และงานระบบรถไฟฟ้า ขบวนรถ และการเดินรถช่วงตลิ่งชัน –มีนบุรี (PPP) ตลอดสายทาง วงเงิน 122,067 ล้านบาท และประกาศคัดเลือกเอกชนในเดือนมิ.ย. 2563
โครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-หัวลำโพง และพญาไท-หัวหมาก (missing link) ระยะทาง 25.9 กม. วงเงิน 44,158 ล้านบาท โดยรมว.คมนาคมได้ส่งเรื่องคืนให้การรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) ทบทวนความชัดเจนเรื่องแนวเส้นทางที่ทับซ้อนกับโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ก่อนที่จะนำเสนอครม.เพื่อขยายกรอบระยะเวลาดำเนินการก่อสร้าง จากเดิม 36 เดือนเป็น 54 เดือน โดยไม่เพิ่มวงเงินโครงการ
นอกจากนี้ยังมีโครงการที่มีความพร้อมและอยู่ในขั้นตอนเตรียมเสนอครม.ในช่วงต้นปี 2563 ได้แก่ มอเตอร์เวย์สาย นครปฐม-ชะอำ ระยะทาง 109 กม. วงเงิน 79,006 ล้านบาท,โครงการทางด่วนขั้นที่ 3 สายเหนือ ตอน N2 เชื่อมต่อไปยังถนนวงแหวนรอบนอกกทม. ด้านตะวันออก วงเงิน 15,200 ล้านบาท
นายศักดิ์สยามกล่าวว่า ในการลงทุนโครงการขนาดใหญ่นั้น หากโครงการมีความพร้อมให้สามารถนำเสนอเข้ามาเพิ่มเติมในปี 2563 ได้อีก โดยให้พิจารณาการใช้แหล่งเงินที่เหมาะสม ซึ่งมี 4 รูปแบบ ได้แก่ 1. งบประมาณปกติ ซึ่งจะพิจารณาเป็นงานของปี 2564 ต่อไป 2. การร่วมลงทุนกับเอกชน(PPP) 3. การใช้เงินกองทุน TFF และ 4. เงินกู้ โดยได้ได้ให้หน่วยงานศึกษาเพื่อนำเสนอครม.เศรษฐกิจพิจารณา เพราะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นกับภาคเอกชนในการลงทุน นอกจากนี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้แจ้งให้พิจารณาแผนการลงทุนให้เหมาะสมกับเพดานหนี้สาธารณะ ของประเทศอีก 3-4 ปีข้างหน้าที่จะเริ่มครบกำหนดการชำระจากการลงทุนโครงการต่างๆ