เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) ได้จัดอันดับภาพลักษณ์ ครม.ในใจประชาชน โดยให้ “สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ติดโผอันดับ 1 รัฐมนตรีที่มีภาพลักษณ์ด้านบริหารเก่ง เชี่ยวชาญธุรกิจ และยังติด Top 5 เป็นรัฐมนตรีที่เหมาะสมกับตำแหน่ง เป็นรัฐมนตรีที่มีนโยบายช่วยเหลือคนรายได้น้อย และรัฐมนตรีที่ทำงานหนัก กล้าคิด กล้าทำ อีกด้วย
จะว่าไปแล้วโพลนี้ก็ไม่ได้เวอร์เกินไป เพราะตั้งแต่ ‘บิ๊กสน’ เข้ามาคุมกระทรวงพลังงานก็ได้ประกาศนโยบาย “พลังงานเพื่อทุกคน” หรือ Energy For All เป็นธีมใหญ่ในการผลักดันให้กระทรวงพลังงานยุคใหม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมกับการแก้ไขปัญหาครอบคลุมหลากหลายมิติ ไม่เฉพาะแต่เรื่องพลังงานอย่างเดียว นโยบายการสนับสนุน “น้ำมันบนดิน” เป็นหนึ่งในธงนำที่ “บิ๊กสน” มองเห็นจุดแข็งด้านผลผลิตทางการเกษตรที่สามารถผลิตได้ในประเทศ อย่างปาล์มน้ำมัน เพื่อส่งเสริมลดการพึ่งพาการนำเข้าปิโตรเลียมจากต่างประเทศ และช่วยสร้างเสถียรภาพราคาผลผลิตทางการเกษตรให้แก่เกษตรกร โดยส่งเสริมน้ำมัน B10 และเตรียมประกาศให้เป็นน้ำมันดีเซลเกรดพื้นฐานตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 63 เป็นต้นไป
แต่รถดีเซลที่ใช้ B10 ไม่ได้อย่างรถรุ่นเก่าๆ และรถยุโรป ก็ไม่ต้องกลัว เพราะยังคงมี B7 เป็นดีเซลทางเลือกไว้ให้ และมี B20 ซึ่งออกมาก่อนหน้านี้เป็นทางเลือกให้กับรถบรรทุกขนาดใหญ่
น้ำมันดีเซล B10 เป็นการเพิ่มสัดส่วนการใช้ไบโอดีเซลที่ผลิตจากปาล์มน้ำมันเพื่อนำไปผสมกับเนื้อน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้นเป็น 10% จากเดิมเป็น B7 มีสัดส่วนไบโอดีเซลแค่ 7% ซึ่งนอกจากเพื่อช่วยลดการนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศ ยังมีมิติด้านการช่วยเหลือสินค้าเกษตรกลุ่มพืชพลังงานคือปาล์มน้ำมันไม่ให้ราคาตกต่ำซ้ำๆ ทุกปีด้วย
ปัจจุบันเพียงเริ่มนำร่องส่งเสริมการใช้ B10 ตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา แค่เดือนเดียวก็ทำเอาราคาปาล์มน้ำมันขยับขึ้นมากกว่า 4 บาท/กิโลกรัมแล้ว หากผลักดันการใช้ B10 สำเร็จจะทำให้เกิดการใช้ไบโอดีเซลเพิ่มขึ้นราว 2.1 ล้านลิตรต่อวัน หรือเพิ่มขึ้น 40% จากปัจจุบันที่ใช้ 5.15 ล้านลิตรต่อวัน เป็นประมาณ 7 ล้านลิตรต่อวันในปี 2563 และจะประหยัดการนำเข้าน้ำมันดีเซลได้ราว 1.8 ล้านลิตรต่อวันเลยทีเดียว
ไม่เพียงแค่ผลที่เกิดแก่ภาคเกษตรกร และภาพรวมการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงของประเทศเท่านั้น ยังมีมิติด้านสิ่งแวดล้อมที่ช่วยลดมลพิษจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 และที่สำคัญ กระทรวงพลังงานยังจูงใจให้ผู้ใช้น้ำมันได้ใช้ B10 ในราคาถูกกว่า B7 เดิมถึงลิตรละ 2 บาทอีกต่างหาก
จึงไม่แปลกที่ช่วงนี้จะเห็น “สนธิรัตน์” เดินสายโปรโมต B10 ถี่หน่อยทั้งขึ้นเหนือล่องใต้ ก็เพื่อเดินหน้าตามโจทย์ใหญ่ที่ต้องการให้ประชาชนเข้าถึงพลังงาน และใช้พลังงานในการเพิ่มรายได้ ยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เกิดการพัฒนาและส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากให้สามารถพึ่งตนเองได้
เสร็จจากการผลักดัน B10 สำเร็จแล้ว สถานีถัดไปของการส่งเสริมน้ำมันบนดินก็จะไปโฟกัสที่พืชพลังงานในกลุ่มอ้อย และมันสำปะหลัง เพื่อเพิ่มการผลิตเป็นเอทานอลมาผสมในกลุ่มน้ำมันเบนซินเป็นแก๊สโซฮอล์ต่อไป
นี่เป็นเพียงธงนำแค่เรื่องน้ำมันบนดินเรื่องเดียว คอนเซ็ปต์ Energy For All ยังแตกนโยบายที่สำคัญๆ ออกไปอีกหลายตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งกำลังจะเป็นเทรนด์ของโรงไฟฟ้ายุคใหม่ที่ผู้บริโภค ชุมชน กลายเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าใช้และจำหน่ายได้เอง
ถือเป็นการสานเป้าหมายของ “สนธิรัตน์” ที่ตั้งใจว่าจะลดความเหลื่อมล้ำ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันโดยใช้กลไกด้านพลังงานไปขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก