หอการค้าไทยยื่นสมุดปกขาว “บิ๊กตู่” เสนอ 5 แนวทางขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ทั้งดันราคาเกษตร จัดสัมมนาเมืองรอง บริหารจัดการน้ำ คลอดพ.ร.บ.อากาศสะอาด และดูแลค่าเงิน เพื่อผลักดันเศรษฐกิจไทยปี 63 ขยายตัวไม่ต่ำกว่า 3% เผยได้เสนอให้เร่งรัดโครงการลงทุนให้เสร็จเร็วขึ้น 2-3 ปี เพื่อเร่งการจ้างงาน จ่ายโอที “สมคิด”ยันเศรษฐกิจไทยไม่แย่ แค่เติบโตในอัตราชะลอตัว หลังเจอผลกระทบรอบด้าน
นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลการประชุมหอการค้าไทยทั่วประเทศ ที่จัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยราชภัฎลำปาง จังหวัดลำปาง วันนี้ (1 ธ.ค.) ว่า หอการค้าไทยได้ยื่นสมุดปกขาวต่อพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ผ่านนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี โดยต้องการให้ให้รัฐบาลขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยตามที่ได้ข้อสรุปจากหอการค้าทั้ง 5 ภูมิภาค จำนวน 5 แนวทาง เพื่อผลักดันให้เศรษฐกิจไทยในปี 2563 ขยายตัวไม่ต่ำกว่า 3% ประกอบด้วย การผลักดันราคาสินค้าพืชผลทางการเกษตร , การส่งเสริมให้หน่วยงานรัฐไปจัดประชุมสัมมนาในจังหวัดเมืองรองและแหล่งท่องเที่ยวชุมชน , การบริหารจัดการน้ำให้เพียงพอและเหมาะสมกับความต้องการใช้น้ำของภาคเกษตร อุตสาหกรรม และบริการ , การสนับสนุนพ.ร.บ.อากาศสะอาด และผลักดันให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงในระดับใกล้เคียงกับประเทศคู่แข่ง
นายจิตร์ ศิรธรานนท์ รองประธานหอการค้าไทยและประธานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจพื้นที่ภาคกลาง กล่าวว่า หอการค้าไทยมีแนวคิดให้รัฐบาลเร่งรัดโครงการโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ที่กำลังดำเนินการอยู่ให้เร็วขึ้น 2-3 ปี อย่างบางโครงการที่มีสัญญากับเอกชนดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 5 ปี ก็เจรจาร่นเวลาให้เสร็จภายใน 3 ปี โดยรัฐควรพิจารณาให้เงินอุดหนุน 15-20% เพื่อให้บริษัทจ้างคนงานเพิ่มหรือเพิ่มโอทีแก่พนักงาน ซึ่งจะช่วยให้แรงงานมีรายได้เพิ่มขึ้น และโครงการต่างๆ สามารถใช้ประโยชน์ได้เร็วขึ้น และจะเกิดผลดีต่อเศรษฐกิจภาพรวม เนื่องจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ส่วนหนึ่งมาจากโรงงานลดโอทีและลดการจ้างงาน
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า จากประชุมร่วมกับตัวแทนหอการค้า 5 ภูมิภาค ประกอบด้วย ภาคกลาง , ภาคเหนือ , ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ , ภาคตะวันออก และภาคใต้ ได้ประเมินภาวะเศรษฐกิจไทยในปี 2562-2563 เห็นตรงกันว่า ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ของทุกภูมิภาคจะชะลอตัวลงทั้งหมด สะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว โดยคาดว่าปีนี้เศรษฐกิจไทยจะโตเพียง 2.6% ปรับลดลงจากที่ประเมินครั้งก่อนที่ 2.8%
ส่วนในปี 2563 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโต 3.1% การส่งออกจากจะพลิกกลับมาเป็นบวก 1.8% อัตราเงินเฟ้อ เพิ่มขึ้น 1% จากปีนี้ 0.8% ซึ่งจะทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังสามารถลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงได้อีก 0.25%
วันเดียวกันนี้ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางมากล่าวปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ “ร่วมมือร่วมใจนำประเทศสู่อนาคต” ในงานสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศวันสุดท้าย ว่า ขอให้ภาคเอกชนร่วมกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศที่อยู่ในภาวะชะลอตัวลงตามภาวะเศรษฐกิจโลก โดยปีนี้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกมาแล้ว 4 ครั้ง ล่าสุดอยู่ที่ 3% ส่วนเศรษฐกิจไทยยังขยายตัวได้ที่ 2.4% ขยายตัวในอัตราที่ลดลง ไม่ได้ย่ำแย่ถึงขั้นติดลบ เพราะการส่งออกได้รับผลกระทบจากปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ทำให้โรงงาน แรงงาน ได้รับผลกระทบจากสายการผลิตหยุด คนตกงาน และว่างงาน 3-4 แสนคน แต่เมื่อเทียบกับจำนวนแรงงานทั้งประเทศ 37 ล้านคน คิดเป็นเพียง 1% ยังถือว่าอัตราการว่างงานต่ำสุดในโลก
“ที่ผ่านมา รัฐบาลได้เดินหน้าแก้ปัญหาเศรษฐกิจอย่างเต็มที่แล้ว แต่มีปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้ ทำให้เศรษฐกิจชะลอ จากการส่งออกลดลง เงินบาทแข็งค่า ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เข้าไปดูแลแล้ว แต่รัฐบาลจะไม่เข้าไปแทรกแซง เพราะสหรัฐฯ กำลังจับตาไทยว่ามีการแทรกแซงค่าเงิน ซึ่งจะทำให้สหรัฐฯ ใช้มาตรการกีดกันทางการค้ากับไทย ยิ่งซ้ำเติมภาวะเศรษฐกิจไทยได้”
นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัว ไม่เพียงแต่ได้รับผลกระทบจากการส่งออก หรือค่าเงินบาทแข็งเท่านั้น แต่ตั้งแต่เลือกตั้งจนกว่าจะมีรัฐบาล มีตัวเลขการเบิกจ่ายงบประมาณล่าช้า เมื่อมีรัฐบาลสถานการณ์จึงดีขึ้น เหลือการเบิกจ่ายอีกกว่าแสนกว่าล้านบาท ซึ่งกำลังเร่งรัดอยู่ ส่วนการลงทุกของเอกชนในปัจจุบันอยู่ที่ 20% ของจีดีพี เรียกได้ว่าเป็นปัญหาขั้นพื้นฐาน ซึ่งต้องประคับประคองและผลักดันให้เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม คาดว่าในไตรมาส 4 ค่อนข้างมั่นใจว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้น เพราะมีสัญญาณจากการที่กระทรวงการคลังออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งการเพิ่มกำลังซื้อผ่านโครงการชิมช้อปใช้ และอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ และการกระตุ้นท่องเที่ยวในปลายปี
ทั้งนี้ นายสมคิดได้แสดงความเป็นห่วงสถานการณ์การเมืองไทยขณะนี้ว่า มีความขัดแย้งสูง สะท้อนจากการประชุมสภาผู้แทนราษฎรที่ล่มมาแล้ว 2 ครั้ง โดยขอให้ทุกฝ่ายมีความสามัคคี ก้าวข้ามความขัดแย้ง เพื่อให้ประเทศไทยเดินหน้า