"กุลิศ"ถกคณะทำงานเพื่อพลังงานที่เป็นธรรมประเดิมนัดแรกดันตั้งคณะทำงานย่อยถกโครงสร้างราคาหน้าโรงกลั่น 28 พ.ย.นี้ ด้านภาคประชาชนนำโดย"รสนา" เสนอรัฐหั่นภาษีสรรพสามิตน้ำมันโดยเฉพาะดีเซลลง 3 บาทต่อลิตรและปรับโครงสร้างราคาหน้าโรงกลั่นหวังลดราคาขายปลีกน้ำมันมอบให้เป็นของขวัญปีใหม่ ลั่นกระตุ้นศก.ช่วยลดรายได้คนไทยทั่วถึงกว่าชิม ช้อป ใช้
นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงานในฐานะประธานคณะทำงานเพื่อพลังงานที่เป็นธรรมเปิดเผยหลังการประชุมคณะทำงานฯนัดแรก ภายหลังนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงานได้ลงนามแต่งตั้งเมื่อ 20 พ.ย.ว่า ที่ประชุมได้หารือถึงแนวทางการปรับโครงสร้างราคาน้ำมันซึ่งประกอบด้วยราคาหน้าโรงกลั่น ภาษีสรรพสามิต ค่าการตลาด ฯลฯโดยเบื้องต้นมีข้อสรุปร่วมกันที่จะตั้งคณะทำงานย่อยเพื่อหารือราคาหน้าโรงกลั่นก่อนในวันที่ 28 พ.ย.นี้ อย่างไรก็ตามจะสามารถนำไปสู่การลดราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศได้หรือไม่ยังต้องหาข้อยุติร่วมกัน
" คณะทำงานชุดใหญ่ 39 คนมีเป้าหมายร่วมกันในการก้าวข้ามปัญหาข้อโต้แย้งและความเห็นต่างด้านพลังงาน และจากหารือวันนี้หลายเรื่องมีรายละเอียดต้องคุยกันมากจึงสรุปที่จะตั้งคณะทำงานย่อย 20 คนมาดูรายละเอียดในประเด็นต่างๆ โดยมีรมว.พลังงานหรือปลัดพลังงานเป็นประธาน "นายกุลิศกล่าว
นางสาวรสนา โตสิตระกูล ผู้แทนภาคประชาชนในคณะทำงานฯ กล่าวว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาภาคประชาชนได้ สนับสนุนให้รัฐปรับโครงสร้างราคาเพื่อลดราคาจำหน่ายให้กับพี่น้องประชาชนมาต่อเนื่องและในมุมองของภาคประชาชนต้องการเห็นรัฐได้ข้อสรุปที่จะนำไปสู่การลดราคาขายปลีกน้ำมันเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่กับประชาชนโดยเฉพาะการหารือในคณะทำงานด้านราคาหน้าโรงกลั่นควรได้ข้อยุติวันที่ 28 พ.ย.นี้ทันที
สำหรับแนวทางที่ภาคประชนเสนอปรับโครงสร้างราคาน้ำมันที่สำคัญคือ การปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันลงมาโดยเฉพาะดีเซลที่เก็บจากปัจจุบันประมาณ 6 บาทต่อลิตรให้เหลือเพียง 3 บาทต่อลิตรซึ่งเห็นว่าเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการนำเงิน 1.6 แสนล้านบาทไปใช้ในมาตรการชิม ช้อป ใช้ที่ช่วยเหลือคนได้เพียง 5 ล้านคนแต่หากราคาน้ำมันลดลงจะทำให้คนในประเทศได้รับประโยชน์เป็นวงกว้าง สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี ซึ่งปัจจุบันรัฐมีรายได้จากการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันในปี 2561จำนวน 2.23 แสนล้านบาทซึ่งถือเป็นเงินที่สูงมาก
" โครงสร้างราคาน้ำมันเกี่ยวข้องหลายเรื่องเรื่องหนึ่งที่ต้องดูนอกจากภาษีฯคือ ราคาหน้าโรงกลั่นที่เราเห็นว่าวันนี้เราอิงราคาที่สิงคโปร์ซึ่งควรอ้างอิงราคาส่งออกที่ไทยมากกว่าเพราะเป็นราคาที่แท้จริงซึ่งหากปรับส่วนนี้จะลดราคาขายปลีกได้ถึง 1 บาทต่อลิตร เช่นเดียวกับค่าการตลาดน้ำมันที่เห็นว่าไม่ควรเกิน 1.50 บาทต่อลิตรจากปัจจุบันเฉลี่ย 1.80 บาทต่อลิตร เป็นต้น" น.ส.รสนากล่าว
สำหรับประเด็นที่ภาคประชาชนต้องการให้รัฐมีการแก้ไขนอกเหนือจากการปรับโครงสร้างราคาน้ำมันซึ่งยังเกี่ยวข้องกับ กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน รวมไปถึงการส่งเสริมเอทานอลและไบโอดีเซลที่จะส่งผลดีต่อเกษตรกรในประเทศที่เกี่ยวข้องทั้งปาล์ม อ้อยและมันสำปะหลัง เป็นต้น
นายวัชระ กรรณิการ์ โฆษกกระทรวงพลังงานในฐานะคณะทำงานฯ กล่าวว่า ประเด็นที่จะหารือร่วมกัน แบ่งเป็น 2 เรื่องหลัก คือ 1. โครงสร้างราคาน้ำมัน และ 2. โครงสร้างราคาก๊าซ ซึ่งมีองค์ประกอบในการหารือ ประกอบด้วย ราคาหน้าโรงกลั่น ภาษี การเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและกองทุนอนุรักษ์พลังงาน และค่าการตลาด โดยเรื่องแรกที่จะมีการหารือร่วมกันคือ ประเด็นราคาหน้าโรงกลั่น ซึ่งจะประชุมในวันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน 2562 เวลา 09.00 น.