ปัญหาเรื่องน้ำอย่างเดียว แต่เจ้าภาพเกี่ยวข้องตามกฎหมายหลายหน่วยงาน ปัญหาจึงแก้ได้เฉพาะส่วน-เฉพาะจุด จึงต้องอาศัยหน่วยงานกลางอย่างสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นตัวช่วยแก้ปัญหาทั้งระบบในท้ายที่สุด
ทั้งที่ สทนช.เป็นหน่วยงานจัดใหม่เมื่อปลายปี 2560 โดยดำริของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ต้องการเห็นการแก้ไขปัญหาน้ำเป็นไปอย่างเป็นระบบและเบ็ดเสร็จ ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นโรคเรื้อรัง ดูดงบประมาณและบ่อนเซาะคุณภาพชีวิตผู้คนตลอดไป
เพียงไม่กี่เดิอนที่ถือกำเนิด นอกจากมุ่งจัดทำยุทธศาสตร์การบริหารจัดการน้ำแล้ว ในทางปฏิบัติ สทนช.ยังต้องแก้ไขปัญหาค้างเก่าดังกรณีแม่น้ำพิจิตร ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องมอบภารกิจการเป็นหน่วยงานน้ำแห่งชาติเข้าไปจัดการเมื่อครั้งประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรที่ จ.นครสวรรค์ เพื่อบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนให้ประชาชนได้ประจักษ์อย่างเป็นรูปธรรม
บึงราชนก จ.พิษณุโลก ก็เช่นเดียวกัน
“บึงราชนก” ครอบคลุมพื้นที่ 2 ตำบล 2 อำเภอของ จ.พิษณุโลก ได้แก่ ต.สมอแข อ.เมือง และ ต.วังทอง อ.วังทอง จ.พิษณุโลก พื้นที่บึงทั้งผืนดินและผืนน้ำ จำนวน 4,865 ไร่ อยู่ภายใต้การดูแลรักษาของกรมเจ้าท่า ตั้งปี 2534 จำแนกการใช้ที่ดินเพื่อการเกษตรและเลี้ยงสัตว์ รวมพื้นที่รกร้าง 3,378 ไร่ พื้นที่แหล่งน้ำ 1,231 ไร่ พื้นที่ถนน 165 ไร่ และพื้นที่หน่วยราชการขอใช้ปลูกสร้างอาคารและสิ่งปลูกสร้าง 90 ไร่ โดยตัวบึงมีความจุน้ำขณะนี้เพียง 2.67 ล้านลูกบาศก์เมตร
ปี 2553 สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ได้จัดทำโครงการสำรวจสถานภาพพื้นที่ชุ่มน้ำประเภทหนองบึงน้ำจืดของประเทศไทย (ภาคเหนือ) และได้กำหนดให้บึงราชนกเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนตามมติคณะรัฐมนตรี แล้วก็เกิดประเด็นปัญหาเมื่อสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ตรวจสอบพบว่ามีการใช้เงินงบประมาณของหน่วยงานต่างๆ ที่ขอใช้ประโยชน์ในบึงราชนกแล้วไม่บูรณาการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่จะพัฒนาเป็นพื้นที่กักเก็บน้ำในแบบบึงราชนกเดิม ส่งผลให้เกิดการบุกรุกที่ดินจากกลุ่มราษฎรเข้าไปใช้ประโยชน์ในรูปแบบต่างๆ คล้ายๆ กับบึงสาธารณะขนาดใหญ่หลายแห่ง
สตง.มีความเห็นว่า พื้นที่บึงราชนกควรได้รับการฟื้นฟูเป็นแหล่งกักเก็บน้ำขนาดใหญ่ ขณะเดียวกัน ให้กันพื้นที่บางส่วนเป็นพื้นที่สันทนาการ เพื่อออกกำลังกาย เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ พร้อมกันนั้นให้ทุกส่วนราชการคืนพื้นที่ใช้ประโยชน์ และพิจารณาการใช้ประโยชน์เท่าที่จำเป็นจริงๆ
“ท่านรองนายกรัฐมนตรี ดร.วิษณุ เครืองาม ได้ประชุมหน่วยงานเกี่ยวข้องพิจารณาแผนการฟื้นฟูบึงราชนก ตามข้อเสนอแนะของ สตง. เมื่อเดือนธันวาคม 2560 และที่ประชุมมีมติมอบหมายให้ สทนช. เป็นผู้รับผิดชอบจัดทำแผนพัฒนาและฟื้นฟูบึงราชนกอย่างเป็นระบบและเพื่อความยั่งยืน” ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เล่าความเป็นมา
ประเด็นสำคัญคือ การใช้ประโยชน์พื้นที่บึงราชนกเมื่อปี 2535 จำนวน 5 หน่วยงาน
1. องค์การบริหารส่วนจังหวัดพิษณุโลก ขอใช้พื้นที่ 2,466 ไร่ และใช้พื้นที่ไปแล้วครึ่งหนึ่ง 2. การกีฬาแห่งประเทศไทย 1,057 ไร่ แต่ไม่มีการพัฒนา และดูแลรักษาที่ดิน ทำให้ราษฎรในท้องถิ่นเข้าไปบุกรุกใช้ประโยชน์ในการเลี้ยงสัตว์ เช่น โค และเป็ด เป็นต้น 3. มหาวิทยาลัยนเรศวร ขอใช้พื้นที่ 1,000 ไร่ ใช้ไปแล้ว 35% เหลือพื้นที่ 650 ไร่ ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์และถูกราษฎรบุกรุกสร้างที่อยู่อาศัยกว่า 34 ไร่ 4. กรมประมง ขอใช้พื้นที่ 241 ไร่ มีการก่อสร้างอาคารปล่อยร้างและขุดบ่อไว้ 1 ไร่ 5. กรมเจ้าท่า ขอใช้พื้นที่ 100 ไร่
รวมพื้นที่ขอใช้ประโยชน์ 4,865 ไร่ เท่ากับพื้นที่บึงทั้งหมดทั้งส่วนที่เป็นผืนดินและผืนน้ำ เสมือนการตัดแบ่งก้อนเค้กอย่างไรก็อย่างนั้น
การขอใช้ประโยชน์พื้นที่ง่ายกว่าการดำเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ คือ แหล่งกักเก็บน้ำ หรือแก้มลิงของเมืองพิษณุโลก
ตรงกันข้าม ได้พื้นที่แล้วแต่ยังไม่มีการใช้ประโยชน์ หรือแม้กระทั่งแผนการใช้ที่ดินอย่างชัดเจน ซ้ำพื้นที่ดังกล่าวกลับขาดการดูแลจริงจัง ทำให้ราษฎรบุกรุกเข้าไปใช้ประโยชน์ ไม่ว่าก่อสร้างที่อยู่อาศัย หรือใช้เป็นที่เลี้ยงสัตว์ ซึ่งจะก่อตัวกลายเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคต ดังที่เกิดขึ้นในบึงสาธารณะขนาดใหญ่หลายแห่งมาแล้ว
“สทนช.เข้าไปศึกษาจัดทำแผนแม่บทพัฒนา และฟื้นฟูบึงราชนก โดยจัดระเบียบการใช้ที่ดินของส่วนราชการและประชาชนโดยรอบเสียใหม่ ให้หน่วยงานที่ประสงค์จะใช้พื้นที่ก็จะต้องมีแผนและใช้เท่าที่จำเป็น ที่เหลือควรคืนทำให้บึงราชนกเป็นแหล่งกักเก็บน้ำขนาดกลาง เป็นแก้มลิงสำหรับ อ.เมืองพิษณุโลก เพราะขณะนี้เส้นทางน้ำที่จะไหลเข้าบึงแทบจะไม่มี” เลขาธิการ สทนช.กล่าว
การจัดทำแผนแม่บทดังกล่าวจะครอบคลุม 4 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1. การบริหารจัดการพื้นที่ การใช้ประโยชน์จากพื้นที่อย่างเหมาะสม 2. การอนุรักษ์ฟื้นฟูและพัฒนา การปรับปรุงคุณภาพน้ำและระบบนิเวศทางน้ำ 3. การจัดองค์กรเพื่อการบริหารจัดการพื้นที่ 4. การติดตามประเมินผลและการตรวจสอบการดำเนินงานตามแผน
จากการศึกษาแนวทางพัฒนาฟื้นฟูบึงราชนก 4 รูปแบบ จะเพิ่มความจุน้ำในบึงจากปัจจุบัน 2.67 ล้านลูกบาศก์เมตร เป็น 6.46 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 10.24 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 12.23 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 17.33 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งขึ้นอยู่กับความเหมาะสมที่ต้องการรับฟังความคิดเห็นจากคนทุกภาคส่วนโดยรอบพื้นที่โครงการ
ไม่ว่าจะเลือกรูปแบบใด แต่บึงราชนกในอนาคตจะเป็นแหล่งกักเก็บน้ำเพิ่มมากขึ้น ตั้งแต่ 2.4 เท่า จนถึง 6.5 เท่า ซึ่งเท่ากับใช้ประโยชน์จากบึงได้มากขึ้นอย่างชัดเจน
“บึงราชนก” น่าจะเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งในการฟื้นฟูพัฒนาบึงน้ำจืดอย่างเป็นระบบ และมีการพัฒนาใช้ประโยชน์อย่างเต็มประสิทธิภาพ เป็นทั้งแก้มลิง และปอดของเมืองพิษณุโลกในเวลาเดียวกัน