กบร.อนุมัติขยายอายุเครื่องบินขนส่งสินค้า จาก 18 ปี เป็น 22 ปี รองรับการเติบโตของธุรกิจแอร์คาร์โก้ และเปิดโอกาสให้คนไทยจัดตั้งสายการบินง่ายขึ้น เพื่อชิงส่วนแบ่งตลาด คาด 20 ปีปริมาณสินค้าในภูมิภาคเอเชียจะเติบโต 2 เท่า และเห็นชอบแผนแม่บทการจัดตั้งสนามบินใหม่ พร้อมทั้งเห็นชอบแผนรักษาความปลอดภัยในการบินพลเรือนแห่งชาติ ปรับแก้ตามความเห็น ICAO
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการการบินพลเรือน (กบร.) วันที่ 6 มิ.ย. ว่าที่ประชุมเห็นชอบปรับเกณฑ์อายุอากาศยานสำหรับการขนส่งสินค้าทางอากาศ (Cargo) โดยขยายอายุเครื่องบินที่นำมาจดทะเบียนขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจขนส่งสินค้าจากเดิมไม่เกิน 18 ปี เป็น 22 ปี เพื่อเปิดโอกาสให้สายการบินที่สนใจเข้ามาทำธุรกิจได้ง่ายขึ้น ซึ่งปัจจุบันตลาดการขนส่งสินค้าทางอากาศเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะมีธุรกิจด้าน E-Commerce สนับสนุนเป็นลอจิสติกส์ เอวิเอชัน ฮับ โดยการขนส่งสินค้าการเติบโตที่ผ่านมาของโลกมีอัตราการเติบโตกว่า 3% ส่วนภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีอัตราเติบโต 4% ขณะที่ประเทศไทยเติบโตที่ 3.6% ต่อปีในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โดยมีปริมาณการขนส่งสินค้าที่ 2.9 ล้านตันต่อปี ขณะที่ IATA ได้ประเมินว่าในอีก 20 ปีข้างหน้า การขนส่งสินค้าทางอากาศของภูมิภาคเอเชียจะเติบโตเป็น 2 เท่าของปริมาณในปัจจุบัน
นอกจากนี้ ที่ประชุม กบร.ได้เห็นชอบแผนแม่บทการจัดตั้งสนามบินพาณิชย์ของประเทศ ซึ่งเป็นแผนระยะยาว ถึงปี 2579 โดยประเมินความต้องการของการเดินทาง จำเป็นต้องมีสนามบินเพิ่มหรือการขยายขีดความสามารถอย่างไร ซึ่งพบว่า ในรอบ 20 ปีจะต้องสนามบิน 2 แห่ง คือ เชียงใหม่แห่งที่ 2 และภูเก็ตแห่งที่ 2 และเห็นชอบแผนรักษาความปลอดภัยในการบินพลเรือนแห่งชาติ ที่มีการแก้ไขปรับปรุงการแก้ไขตามที่องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ตรวจสอบด้านการรักษาความปลอดภัยการบินพลเรือนตามโครงการ USAP-CMAเมื่อปี 2560 ซึ่ง ICAO ได้ตรวจสอบและพบข้อบกพร่องที่ไม่เป็นนัยสำคัญ แต่ถือเป็นจุดอ่อนที่ต้องแก้ไขโดยไทยได้แก้ไขและนำเสนอต่อ กบร.
นายจุฬา สุขมานพ ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) กล่าวว่า ปัจจุบันการหาเครื่องบินเพื่อนำมาใช้ในการขนส่งสินค้านั้นค่อนข้างลำบาก โดยตลาดจะมีเครื่องบินโดยสาร รุ่นโบอิ้ง 737 ปลดระวาง อายุเกิน 18 ปี ดัดแปลงและให้เช่าต่อ ดังนั้น ข้อกำหนดเดิมอายุไม่เกิน 18 ปีเป็นข้อจำกัด จึงขยายอายุเป็น 22 ปี เพื่อให้เกิดผู้ประกอบการรายใหม่ได้ง่ายขึ้นก่อนที่จะถูกต่างชาติแย่งไป และทำให้แข่งขันได้ เนื่องจากตลาดการขนส่งสินค้าทางอากาศมีแนวโน้มการเติบโตสูง และมีกำไรดีกว่าการขนส่งผู้โดยสาร ซึ่งปัจจุบันมีผู้ประกอบการไทยที่ให้บริการขนส่งสินค้าทางอากาศเพียง 1 ราย คือ เค-ไมล์ แอร์ และมีอีก 1 รายที่ทำเรื่องเสนอขอดำเนินการโดยอยู่ระหว่างการ Re-AOC
สำหรับแผนแม่บทการจัดตั้งสนามบินนั้นเป็นกรอบในรอบ 20 ปี ซึ่งพบว่าต้องการสนามบิน 2 แห่ง คือ เชียงใหม่ 2 และภูเก็ต 2 นั้น บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. จะศึกษารายละเอียดการลงทุนต่อไป นอกจากนี้จะมีแผนในการขยายขีดความสามารถสนามบินที่มีอยู่เดิม ทั้งในความรับผิดชอบของ ทอท. และกรมท่าอากาศยาน (ทย.) ทั้งนี้ หากสถานการณ์เปลี่ยนมีความต้องการเพิ่มจะมีหลักเกณฑ์ของการจัดตั้งสนามบินว่าจะต้องไม่มีปัญหาเรื่องห้วงอากาศ มีสายการบินที่จะทำการบิน รวมถึงต้องไม่ตั้งอยู่ในระยะที่สามารถเดินทางด้วยรถยนต์ได้ภายใน 90 นาที เพื่อไม่ให้เกิดการแข่งขันกันมากเกินไป โดยหลังจากนี้กระทรวงคมนาคมจะเสนอ ครม.เพื่อรายงานเพื่อทราบต่อไป
ส่วนกรณีการแผนรักษาความปลอดภัยในการบินพลเรือนแห่งชาติ เป็นการปรับปรุงแผนตามความเห็นของ ICAO และเสนอให้ กบร.อนุมัติแผนที่แก้ไขและจะแจ้งต่อ ICAO ต่อไป ซึ่งครั้งนี้จะทำให้สามารถปิดข้อบกพร่องที่เกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยได้ทั้งหมด ทั้งนี้ ประเด็นที่ต้องแก้ไขให้ดียิ่งขึ้นรวม 49 ข้อนั้น เบื้องต้นดำเนินการได้เกือบหมด เหลือในส่วนของการออกใบอนุญาตสำหรับผู้ตรวจอาวุธ ซึ่งมีเป็นพันคน ซึ่งจะมีกระบวนการในการตรวจสอบ ดังนั้นจะใช้เวลาอีกสักระยะดำเนินการตรวจเช็ก
อย่างไรก็ตาม ในการด้านการรักษาความปลอดภัยจะเกี่ยวข้องกับสนามบิน สายการบิน ซึ่งผู้ประกอบการจะต้องปรับปรุงให้สอดคล้องกับแผน ส่วนที่จะเกี่ยวข้องกับผู้โดยสาร เช่น การพกพา สิ่งของติดตัวขึ้นเครื่องบิน เช่น ข้อกำหนดเดิม กรรไกร มีดโกน ที่มีความยาวต่ำกว่า 6 ซม. สามารถนำติดตัวเครื่องบิน ซึ่งมาตรฐานสากลทำได้ แต่ที่ผ่านมาไทยห้ามเพราะกำหนดเข้มข้นกว่า ซึ่งหลังจากนี้สายการบินและสนามบินจะปรับปรุงคู่มือใหม่ต่อไป