บีซีพีจีแจงกำไรไตรมาส 1/61 อยู่ที่ 351.15 ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 453.99 ล้านบาท เนื่องจากขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 13 ล้านบาท
นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2561 บริษัทมีกำไรสุทธิ 351.15 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 453.99 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งสิ้น 13 ล้านบาท
ในไตรมาส 1/2561 บริษัทฯ มีการรับรู้ผลการดำเนินงานจากการจำหน่ายไฟของบริษัทฯ และรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในบริษัทย่อย โดยบริษัทฯ มีรายได้จากการขายไฟฟ้าประมาณ 802 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2560 สาเหตุจากสภาวะอากาศในประเทศไทยยังคงมีฝนตกต่อเนื่อง ขณะที่ในประเทศญี่ปุ่นสภาพอากาศมีหิมะตกจำนวนมาก และยาวนานกว่าปกติ ประกอบกับความผันผวนของเงินสกุลบาทเทียบกับเงินสกุลเยน ส่งผลให้การรับรู้รายได้จากการขายไฟของประเทศญี่ปุ่นเติบโตอย่างจำกัด
ทั้งนี้ หากคิดรายได้จากประเทศญี่ปุ่นในรูปสกุลเงินเยน ไตรมาสที่ 1/2561 บริษัทฯ มีการเติบโตอยู่ที่ร้อยละ 13.6 โดยมีสาเหตุหลักจากการรับรู้เต็มไตรมาสของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์นากิ (Nagi) ซึ่งได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์เมื่อต้นเดือนมีนาคม 2560 และส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่ประเทศฟิลิปปินส์และโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพในประเทศอินโดนีเซีย มีการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรเป็นจำนวน 69 ล้านบาท ทำให้กำไรจากการดำเนินงานก่อนรายการพิเศษและอัตราแลกเปลี่ยนคิดเป็นเงินประมาณ 364 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 7.6 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
ทั้งนี้ ในปีนี้บริษัทฯ ยังมั่นใจว่าจะเติบโตต่อเนื่องทั้งจากธุรกิจปัจจุบัน (organic growth) เช่น การเติบโตจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งในประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่น การร่วมลงทุนกับพันธมิตรทางธุรกิจจากหลายภาคส่วน การร่วมพัฒนากลยุทธ์การดำเนินงานกับโครงการที่บริษัทฯ เข้าร่วมลงทุนในประเทศฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย และการเติบโตจากการเข้าซื้อกิจการหรือร่วมทุน (inorganic growth) รวมถึงจากการลงทุนใหม่ (new investment) โดยการเติบโตจากการเข้าซื้อกิจการ การร่วมทุน หรือการลงทุนใหม่นั้น บริษัทฯ ให้ความสนใจในธุรกิจพลังงานสะอาดหลากหลายรูปแบบที่มีศักยภาพในการเติบโต
นอกจากนี้ บีซีพีจีกำลังมุ่งสู่การทำธุรกิจกับผู้บริโภคโดยตรง (retail) ควบคู่ไปกับการลงทุนในโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนแบบดั้งเดิมที่มีการนำส่งไฟฟ้าที่ขายได้เข้าสู่ระบบสายส่งของรัฐ หรือการไฟฟ้าในระดับท้องถิ่น (wholesale)