ทาทาสตีลฯ ตั้งเป้าปริมาณการขายเหล็กเส้นปีนี้โต 8-10% อยู่ที่ 1.32-1.35 ล้านตัน หลังประเมินความต้องการใช้เหล็กเพิ่มสูงขึ้นช่วง ส.ค.นี้ โอดรัฐคุมเข้มโรงงานเหล็กผลิตแบบเตาอินดักชัน หลังจีนสั่งปิดโรงงานดังกล่าวทำให้เข้ามาแย่งตลาดผู้ประกอบการไทยจนต้องทยอยปิดตัว
นายราจีฟ มังกัล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทาทาสตีล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (TSTH) เปิดเผยว่า ในงวดปี 2561/2562 (เม.ย. 61-มี.ค. 62) บริษัทวางเป้าหมายการขายเหล็กไว้ที่ 1.32-1.35 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีปริมาณการขาย 1.21ล้านตัน หรือโตขึ้น 8-10% แม้ว่าภาพรวมตลาดเหล็กในประเทศชะลอตัวลง แต่บริษัทผลักดันการขายเหล็กลวดมากขึ้นและทำตลาดส่งออกเพิ่มเพื่อชดเชยการชะลอตัวภาคการก่อสร้างในประเทศ
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าการส่งออกในงวดปี 2561/2562 ไว้ที่ 1.5 แสนตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนอยู่ที่ 1.13 แสนตัน โดยในงวดไตรมาส 1 นี้จะส่งออกเหล็ก 5 หมื่นตัน
บริษัทคาดการณ์ว่าความต้องการใช้เหล็กเส้นในประเทศจะปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่ช่วงเดือนกรกฎาคมหรือสิงหาคมนี้ เนื่องจากโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐเริ่มกระบวนการจัดซื้อเหล็กเพื่อก่อสร้าง แม้ว่าช่วงต้นความต้องการใช้เหล็กเส้นในไทยยังชะลอตัวก็ตาม และโครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จะเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศด้วย
ภาพรวมความต้องการใช้เหล็กทรงยาวในประเทศปีนี้โตขึ้น 5% จากที่มีความต้องการใช้อยู่ 5.9-6 ล้านตัน ขณะที่ปริมาณความต้องการใช้เหล็กโดยรวมในปีนี้จะอยู่ที่ 17.5 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 1 ล้านตันต่อปี
นายราจีฟกล่าวถึงกรณีที่สหรัฐฯ ออกมาตรา 232 ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียมว่า แม้ว่าจะไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อบริษัทฯ เพราะไม่มีการส่งออกไปสหรัฐฯ แต่มีผลทางอ้อมที่เกิดความเสี่ยงจากปริมาณเหล็กจากจีนจะถูกถ่ายโอนมายังภูมิภาคอาเซียน หลังจากปิดตลาดสหรัฐฯ สำหรับการนำเข้า เมื่อตลาดเหล็กในสหรัฐฯ ได้รับการปกป้องทำให้อุตฯ ฟื้นตัวกลับมาผลิตได้มากขึ้น มีการใช้เศษเหล็กมากขึ้น ทำให้ปริมาณเศษเหล็กส่งออกจากสหรัฐฯ ลดลง ดันราคาเศษเหล็กในตลาดโลกสูงขึ้น รวมทั้งราคาวัตถุดิบอื่นๆ เช่นกราไฟต์อิเล็กโทรด วัสดุทนไฟ และ ferro-alloys ขณะที่ราคาเหล็กเส้นก่อสร้างทรงตัวเท่าปัจจุบันที่ตันละ 1.8 หมื่นบาท
สิ่งที่บริษัทเป็นห่วงในขณะนี้ คือ มีการตั้งโรงงานเหล็กเส้นด้วยระบบการผลิตเตาอินดักชันในไทยเพิ่มมากขึ้นหลังจากรัฐบาลสั่งปิดโรงงานเหล็กดังกล่าวทั้งหมดเพราะเป็นโรงงานที่ส่งผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสินค้าไม่ได้คุณภาพ ทำให้โรงงานเหล็กจีนที่ถูกปิดหันมาเปิดโรงงานในภูมิภาคนี้แทนรวมทั้งไทยด้วย ซึ่งต้นทุนการผลิตจะต่ำกว่าโรงงานผลิตเหล็กด้วยเตาอิเล็กทริกอาร์กเฟอร์เนซที่ได้เหล็กที่มีคุณภาพถึง 5-10%
ขณะที่ผู้ประกอบการเหล็กของไทยใช้อัตรากำลังผลิตต่ำกว่า 40% ทำให้มีโอกาสปิดตัวเป็นไปได้ จะเห็นได้จากนักลงทุนต่างชาติเข้ามาซื้อกิจการโรงงานเหล็กหลายแห่งในไทยแล้ว จึงอยากให้ภาครัฐเข้ามาควบคุมการให้ใบอนุญาตประกอบกิจการโรงเหล็กใหม่ และให้โครงการก่อสร้างภาครัฐส่งเสริมการใช้เหล็กที่ผลิตในประเทศให้มากขึ้น
สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทงวดปี 2560/61 บริษัทมียอดขาย 2.22 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มียอดขาย 1.97 หมื่นล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 455ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 214 ล้านบาท โดยโรงงานผลิตเหล็กทาทาสตีลมีการใช้อัตรากำลังผลิตราว 75% ของกำลังผลิตรวม สูงกว่าภาพรวมตลาดเหล็กในประเทศ