ระยอง - นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ยื่นฟ้องอุตสาหกรรมจังหวัด อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และนายอำเภอเมืองระยอง ต่อศาลปกครองระยอง ฐานละเลยการปฏิบัติหน้าที่ โดยปล่อยให้ บริษัท ไทยฮั้วระยองยางพารา ปล่อยมลพิษกลิ่นเหม็น ทำชาวบ้าน ชุมชน เด็กนักเรียนได้รับผลกระทบ รวมทั้งยังบุกรุกที่สาธารณะ
วันนี้ (26 เม.ย.) นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ได้รับมอบอำนาจจากผู้ฟ้องคดี ยื่นคำฟ้องต่อศาลปกครองระยอง ต่ออุตสาหกรรมจังหวัดระยอง ในฐานะผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 และนายอำเภอเมืองระยอง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 ฐานละเลยการปฏิบัติหน้าที่ และปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยการปล่อยให้ผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมแปรรูปยางแท่ง (เอสทีอาร์) ปล่อยมลพิษกลิ่นเหม็นกระทบต่อสุขภาพประชาชน ชุมชน และนักเรียนโรงเรียนบ้านจันดี รวมทั้งยังปล่อยน้ำเสียลงคลองจันดี ส่งผลกระทบต่อสัตว์น้ำ นอกจากนี้ ยังมีการบุกรุกที่ดินสาธารณะ
นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า หลังชาวบ้านในพื้นที่ ม.4 ต.กะเฉด อ.เมืองระยอง ได้ร้องเรียนเรื่องกลิ่นเหม็นของบริษัทไทยฮั้วระยองยางพารา จำกัด ต่อ นายอัครเดช ล่องดุริยางค์ กำนัน ต.กะเฉด โดยได้มีการรวบรวมรายชื่อชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนเสนอผ่าน นายวีระชัย ช้างสาร เครือข่ายสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน จ.ระยอง ไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งศูนย์ดำรงธรรม คสช. ผู้ตรวจการแผ่นดิน แต่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้เป็นเวลานานหลายปีนั้น
นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า การยื่นฟ้องศาลปกครองระยอง ในวันนี้ก็เพื่อให้ศาลพิจารณาไต่สวนมีคำสั่งหรือคำพิพากษา ดังนี้ คือ 1.ขอให้ศาลมีคำสั่งหรือคำพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ดำเนินการสั่งปิดโรงงานแปรรูปยางพาราดังกล่าว หรือเพิกถอนใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน และขอให้ศาลมีคำสั่งให้อุตสาหกรรม จ.ระยอง สั่งให้ผู้ประกอบกิจการโรงงานฟื้นฟูสภาพความเสียหายทางทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมให้กลับคืนเหมือนเดิม
2.ขอให้ศาลมีคำสั่ง หรือคำพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติหน้าที่ในการบังคับโรงงานประกอบกิจการแก้ไขปรับปรุงโดยใช้เป็นระบบปิดทั้งหมด ห้ามปล่อยมลพิษทางอากาศ และน้ำเสียออกนอกโรงงาน
3.ขอให้ศาลมีคำสั่ง หรือคำพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 ร่วมกับท้องถิ่นดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ สั่งให้บริษัท ไทยฮั้วระยองยางพารา จำกัด ดำเนินการรื้อถอนบริเวณข้างคลองสาธารณะออกทั้งหมด แล้วคืนพื้นที่ดินริมคลองสาธารณะ หรือคลองจันดี กลับคืนมาตามธรรมชาติเหมือนเดิม
