กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ร่วมกับคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และกระทรวงวัฒนธรรม จัดงานเสวนาวิชาการ “ไขรหัสลับ ละครบุพเพสันนิวาส” โดยภายหลังจากเสร็จสิ้นการเสวนาในครั้งนี้แล้ว ทางกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยฯ ได้ส่งเสริมสนับสนุนให้มีการถอดบทเรียน และต่อยอดสู่งานวิจัย โดยมีคณาจารย์ คณะวารสารศาสตร์ฯ เป็นผู้ร่วมกันดำเนินการ สร้างนวัตกรรมทางวิชาการ ด้านสื่อละครสร้างสรรค์ปลอดภัยสู่สังคมต่อไป
นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ กล่าวถึงการเป็นเจ้าภาพการจัดงานเสวนาวิชาการ “ไขรหัสลับ ละครบุพเพสันนิวาส” ในครั้งนี้ ว่า มีวัตถุประสงค์เพื่อสรุปบทเรียนละครบุพเพสันนิวาสที่ทำให้คนไทยทั่วประเทศรู้สึกฟินกัน รวมถึงคนไทยในต่างแดนและชาวต่างชาติที่ติดตามละครเรื่องนี้ เป็นปรากฏการณ์สำคัญ เพราะไม่เพียงแต่เรตติ้งถล่มทลาย แต่วันที่ละครฉายคนกลับบ้านเฝ้าหน้าจอ และที่ยิ่งใหญ่ไปกว่านั้น คือ คนไทยหันมาสนใจเรียนรู้รากวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์มากขึ้น จำเป็นต้องไขรหัสความสำเร็จของละคร และต้องการเห็นละครเรื่องนี้เป็นจุดเปลี่ยนละครไทย จากเดิมที่คนเห็นว่าล้าหลัง ซ้ำซากจำเจ น้ำเน่า และไปชื่นชอบละครเกาหลีเพราะมีการศึกษาวิจัยทุ่มเทการสร้าง
นายนิมิตร พิพิธกุล ผู้ทรงคุณวุฒิด้านศิลปวัฒนธรรมและกรรมการกองทุนฯ กล่าวถึงปรากฏการณ์ละครบุพเพสันนิวาส ว่า ละครบุพเพสันนิวาสได้ปฏิรูปละครไทย จากละครน้ำเน่าในอดีตที่เป็นภาพจำของคนในสังคม ในละครเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสมซึ่งเป็นยุคที่รุ่งเรืองในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเห็นภาพที่คนในสังคมอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ทำให้ผู้ชมเกิดการเรียนรู้ในรูปแบบ Media Literacy ในลักษณะอ่านสื่อให้รู้ ดูสื่อให้เป็น เกิดการติดตามละครอย่างต่อเนื่อง ทั้งวิถีชีวิตความเป็นอยู่ อาหารการกิน การแต่งกาย ซึ่งผู้ชมจับต้องสิ่งที่ละครนำเสนอได้ จนเกิดกระแสทางวัฒนธรรมที่ผู้ชมพร้อมรับวัฒนธรรมทุกอย่างเนื่องจากใกล้เคียงกับวิถีชีวิตประจำวัน ซึ่งแตกต่างกับละครทางประวัติศาสตร์ที่ผ่านๆ มาของไทยที่มักเป็นไปในลักษณะเชิดชู ศรัทธา และยกย่อง ทำให้ผู้ชมจับต้องไม่ได้
ในส่วนวงเสวนา ทีมงานผู้ผลิตละคร และนักวิชาการ ได้กล่าวถึงปรากฏการณ์ละครบุพเพสันนิวาส โดย อ.ศัลยา สุขะนิวัตติ์ กล่าวว่า “ละครเรื่องนี้มีเสน่ห์ในตัวของมัน นับเป็นผลงานที่สมบูรณ์ มีองค์ประกอบต่างๆ ที่สอดคล้องเข้ากัน ตัวละครเกศสุรางค์ ที่ย้อนกลับไปในอดีตนั้น เเม้ว่าจะรู้ว่าประวัติศาสตร์จะดำเนินไปอย่างไร เเต่ไม่ได้จะเปลี่ยนเเปลง” ในส่วนการทำงานเขียนบทละครที่ผ่านมา ตนจับทางคนดูในสิ่งที่คนดูต้องการ การเขียนบทละครเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ข้อมูลต้องถูกต้องจริงๆ ที่สำคัญ ต้องทำให้คนดูมีความสุข เราต้องตอบแทนทำสิ่งดีๆ ให้คนดู” อ.ศัลยา กล่าว
นายภวัต พนังคศิริ ผู้กำกับละครบุพเพสันนิวาส กล่าวถึงเสน่ห์ของละครบุพเพสันนิวาส ว่า เเรกเริ่มตนทำตัวเป็นคนอ่านหนังสือเล่มนี้ อ่านให้สนุก เพิ่มความสนุกเข้าไป เรื่องของภาษาต้องยอมรับว่ายาก เเต่นักเเสดงเขาเตรียมตัว ทำการบ้านมา ซึ่งทำได้ดี ตนมองว่าตัวละครมันมีสูตร มีการเเนะนำ สร้างปม ดึงเรื่องจนถึงจุดไคลแม็กซ์ เเละคลายปมในตอนท้าย ซึ่งมีการพัฒนาตัวละครทุกตัวให้ดูเเล้วเด่นหมด “ฉากที่พระเพทราชา และ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ที่เถียงกันกลางท้องพระโรงนั้น ต้องมาดูจุดไคลเเม็กซ์ของฉากนั้นว่าอยู่ที่อารมณ์ ส่วนนางเอกการย้อนกลับไปในอดีตก็ต้องเอาชนะใจคนในยุคนั้น ทำให้เข้าถึงคนดู” นายภวัต กล่าวทิ้งท้าย
ทางด้าน ชาคริต ดิเรกวัฒนชัย หัวหน้าคณะทำงานสายกิจการองค์กร สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 กล่าวถึงเสน่ห์และสูตรสำเร็จของละคร “บุพเพสันนิวาส” ว่า “คอนเทนต์” มีความสำคัญที่สุด ถือเป็นเสน่ห์ของละครเรื่องดังกล่าวได้ ส่วนปรากฏการณ์ออเจ้าฟีเวอร์ที่เกิดขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากโซเชียลมีเดีย ทั้งนี้ การรับชมละครโทรทัศน์ ต้องรับชมผ่านช่องทางโทรทัศน์เท่านั้น ส่วนแพลตฟอร์มทางสมาร์ทโฟน, คอมพิวเตอร์ ฯลฯ สามารถรับชมได้และเป็นไปได้ในบางช่วง แต่อาจจะไม่ได้อรรถรสเท่ากับการรับชมผ่านช่องทางโทรทัศน์ ซึ่งส่วนตัวมั่นใจว่า สื่อโทรทัศน์มันยังคงอยู่ได้แน่นอน เพียงแต่สื่อออนไลน์เป็นสื่อที่ส่งเสริมให้ผู้ชมมารับชมผ่านช่องทางสื่อโทรทัศน์มากกว่า ผู้ชมดูแล้วจับมือถือไปด้วย เพราะต้องบอกเพื่อนๆ ว่า ดูอยู่ ทำให้แฮชแท็กของละครเรื่องนี้ติดอันดับ 1 ในเอเชีย
ทางด้านมุมมองของนักวิชาการ รศ.นฤมล ปิ่นโต หัวหน้ากลุ่มวิชาวิทยุและโทรทัศน์ คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มธ. กล่าวว่า “สำหรับการถอดรหัสแห่งความสำเร็จของละครบุพเพสันนิวาส พบว่า เสน่ห์และสูตรสำเร็จของละคร “บุพเพสันนิวาส” ได้แก่ ผู้ชม, เรื่องราว ภาษา, การแสดง ภาพ เสียง, ผู้กำกับ, ผู้ใช้สื่อ ซึ่งทางผู้จัดละครได้เปิดโอกาสให้ผู้ชมมีส่วนร่วมตั้งแต่ต้นด้วยการเปิดโหวตละครหรือนวนิยายที่อยากรับชมมากที่สุด สุดท้ายก็เป็นละครเรื่อง “บุพเพสันนิวาส”