ผู้จัดการรายวัน 360 - “โรบินสัน” จัดหนัก เปิดแผน 5 ปี (61-65) ทุ่มงบรวม 15,000 ล้านบาท ผุดอีก 11 สาขาอย่างต่ำ โฟกัสพื้นที่กรุงเทพฯ-ภาคตะวันออก-ภาคเหนือ โหมสินค้ากลุ่มไพรเวตเลเบล เปิดพื้นที่อาหารเพิ่มขึ้น
นายวุฒิเกียรติ เตชะมงคลาภิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โรบินสัน จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ วางแผนธุรกิจยาว 5 ปีจากนี้ (2561-2565) จะลงทุนรวมประมาณ 15,000 ล้านบาท เปิดสาขาใหม่ทั้งไลฟ์สไตล์มอลล์และห้างสรรพสินค้าใหม่ประมาณ 11 สาขา เฉลี่ย 2-3 สาขาต่อปี จะเน้นพื้นที่กรุงเทพฯ ภาคตะวันออก และภาคเหนือ คาดว่าในปี 2565 จะมีรวม 59 สาขา มีพื้นที่ให้เช่ารวม 1.2 ล้านตารางเมตร
การเติบโตของธุรกิจจะมาจากการเปิดสาขารูปแบบใหม่ๆ และการขยายฐานลูกค้า การรีโนเวตสาขาเดิม 3-4 แห่งต่อปี การขยายตลาดแบบออมนิแชนเนล การเพิ่มสัดส่วนรายได้จากสินค้ากลุ่มไพรเวตเลเบลเป็น 20% ในอีก 5 ปี และรายได้จะต้องโตไม่ต่ำกว่าจีดีพี จากปี 2560 ที่มีสาขารวม 46 แห่ง มีพื้นที่เช่ารวม 9.5 แสนตารางเมตร
ขณะที่กลุ่มธุรกิจบริการหลักๆ ที่มีแนวโน้มการเติบโตดีคือ ธุรกิจอาหาร ซึ่งมีการพัฒนาฯ พื้นที่เพื่อเปิดโอกาสร้านอาหารใหม่ๆ เข้ามาเปิด สัดส่วนพื้นที่ประมาณ 30% จะเพิ่มเป็น 35% ในอนาคต จากเดิม 20% เท่านั้น ส่วนธุรกิจด้านชอปปิ้งยังเป็นพื้นที่หลักมากสุดคือ 60% และบันเทิงต่างๆ สัดส่วนพื้นที่ 10%
ส่วนแผนลงทุนปี 2561 นี้ตั้งงบ 3,000-3,500 ล้านบาท เปิด 2 สาขาใหม่ ประมาณ 1,800 ล้านบาท ทั้งนี้เพื่อรองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจและกำลังซื้อในภาคตะวันออก โดยเฉพาะจังหวัดชลบุรี เนื่องจากโครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) ซึ่งเป็นแผนยุทธศาสตร์ต่างประเทศภายใต้ไทยแลนด์ 4.0 ที่จะเป็นส่วนสำคัญที่ผลักดันให้ประเทศมีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ในไตรมาสที่สามปีนี้จะเปิดสาขาใหม่ ‘ศูนย์การค้าโรบินสันไลฟ์สไตล์ สาขาชลบุรี’ ด้วยงบ 1,000 ล้านบาท ด้านหลังนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร เป็นสาขาลำดับที่ 47 และเป็นสาขาลำดับที่ 21 ในรูปแบบศูนย์การค้าโรบินสันไลฟ์สไตล์ ตึก 2 ชั้น พื้นที่ 36,000 ตารางเมตร เป็นสาขาที่ 3 ในจังหวัดชลบุรี จากเดิมมีที่ศูนย์การค้าแปซิฟิค พาร์ค ศรีราชา และศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ชลบุรี
“บริษัทมองว่าชลบุรีเป็นจังหวัดที่มีกำลังซื้อสูง มีนิคมอุตสาหกรรมประเภทต่างๆ จำนวนมาก คนมีรายได้ประจำ และมีคนทำงานกว่า 400,000 คน ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ และเป็นเมืองท่องเที่ยวด้วย การขยายตัวของเศรษฐกิจในจังหวัดนี้จะดียิ่งขึ้นภายหลังจากการลงทุนสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ทั้งการเชื่อมแอร์พอร์ตลิงก์มายังภาคตะวันออกและโครงการอื่นๆ ที่จะทำให้การเดินทางมายังภาคตะวันออกง่ายขึ้น ซึ่งเราก็มีสาขาบ้างแล้ว เช่น ระยอง ฉะเชิงเทรา จันทบุรี”
อีกสาขาในไตรมาสที่สี่จะเปิด ‘ศูนย์การค้าโรบินสันไลฟ์สไตล์’ จังหวัดชัยภูมิ ซึ่งนับเป็นสาขาลำดับที่ 48 และเป็นสาขาลำดับที่ 22 ในรูปแบบศูนย์การค้าโรบินสันไลฟ์สไตล์ ลงทุนประมาณ 800 ล้านบาท พื้นที่ 32,000 ตารางเมตร เพื่อขานรับนโยบายภาครัฐ ในการต่อยอดการพัฒนาเศรษฐกิจและกระจายความเจริญสู่เมืองรองของไทย ซึ่งจังหวัดชัยภูมินับเป็นจังหวัดที่มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ดี ส่วนใหญ่มาจากอุตสาหกรรมสิ่งทอ และการเกษตร และเป็นจังหวัดที่รัฐบาลมีแผนกระตุ้นเศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในปัจจุบัน จึงจัดเป็นจังหวัดที่มีโอกาสเติบโตทัดเทียมเมืองหลัก ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนในการซื้อที่ดินเพื่อขยายธุรกิจในอนาคต และปรับปรุงสาขาที่มีอยู่ของโรบินสันในปีนี้อย่างต่อเนื่อง
ส่วนงบประมาณที่เหลือจะเป็นการรีโนเวตและอื่นๆ อีก 1,200-1,700 ล้านบาท เช่น รีโนเวตสาขาเมกาบางนา สาขาพระรามเก้า สาขาตรัง เป็นต้น
สำหรับผลประกอบการของบริษัทฯ ในปี 2560 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 2,742 ล้านบาท เติบโต 8.7% (เมื่อไม่รวมรายการพิเศษ ซึ่งบริษัทมีการบันทึกรายการพิเศษจากการกลับรายการหนี้สูญและรับเงินค่าชดเชยอุทกภัยที่เกิดขึ้นในไตรมาส 4 ปี 2559) โดยการเติบโตเป็นผลมาจากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของรายได้จากค่าเช่า ซึ่งมีอัตราการเช่าพื้นที่ศูนย์การค้า (Occupancy Rate) ที่ร้อยละ 99 รวมทั้งจากการเพิ่มขึ้นของรายได้อื่น การบริหารจัดการค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการขยาย 3 สาขา ทั้งศูนย์การค้าโรบินสันไลฟ์สไตล์ เพชรบุรี (เดือนพฤษภาคม 2560), ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน มหาชัย (เดือนพฤศจิกายน 2560) และศูนย์การค้าโรบินสันไลฟ์สไตล์ กำแพงเพชร (เดือนธันวาคม 2560) ซึ่งในส่วนศูนย์การค้าโรบินสันไลฟ์สไตล์มีจำนวนผู้ใช้บริการ 7.9 ล้านคนต่อเดือน เพิ่มขึ้น 12.9% ทั้งนี้ บริษัทฯ คาดว่าการลงทุนขยาย 2 สาขาใหม่ในปีนี้จะส่งผลในทิศทางบวกต่อบริษัทฯ เหมือนปีที่ผ่านมาเช่นกัน
นอกจากนี้ ในปี 2561 บริษัทฯ ยังมีแผนที่จะรุกตลาดค้าปลีก โดยเน้น 2 แผนงานการตลาดที่สำคัญ คือ (1) การพัฒนาการตลาดออนไลน์ ก้าวสู่การเป็น Omni Chanel อย่างสมบูรณ์แบบ เพื่อปรับตัวตามพฤติกรรมของกลุ่มลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบันที่นิยมเลือกซื้อสินค้าในช่องทางที่หลากหลาย โดยบริษัทฯ จะนำจุดแข็งในเรื่องจำนวนสาขาของโรบินสันที่กระจายอยู่ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ และระบบชอปปิ้งออนไลน์อย่าง ‘Click and Collect’ ที่ shopping.robinson.co.th มาช่วยเติมเต็มและรวมประสบการณ์การชอปปิ้งทั้งออฟไลน์ และออนไลน์เข้าไว้ด้วยกันแบบ 360 องศา เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายในการชอปปิ้งแก่ลูกค้าอย่างไร้รอยต่อ เช่น ลูกค้ามาดูสินค้าที่จะมีเวลาตัดสินใจ หรือกรณีที่ต้องการซื้อสินค้าแล้วไม่มีแบรนด์ หรือขนาดที่ต้องการ ก็สามารถกลับไปสั่งซื้อสินค้าทางออนไลน์ได้ หรือลูกค้าสนใจสินค้าในชอปปิ้งออนไลน์ และต้องการที่จะเห็นของจริงก่อนตัดสินใจซื้อก็สามารถมาดูและเลือกซื้อที่ห้างฯ ได้ ทั้งนี้ ในปัจจุบันบริษัทฯ มีอัตราการเติบโตของธุรกิจออนไลน์ราว 150% ซึ่งในปีนี้คาดว่าจะสามารถเพิ่มจำนวนลูกค้ากลุ่มออนไลน์ได้มากขึ้น โดยจะส่งผลถึงความแข็งแกร่งของธุรกิจห้างสรรพสินค้า และศูนย์การค้าฯ มากขึ้นตามไปด้วย
รวมทั้งเน้นการทำกลยุทธ์ซีอาร์เอ็มอย่างเข้มข้น โดยการแบ่งกลุ่มลูกค้าอย่างชัดเจน (Personalization) เพื่อให้เข้าถึงและตอบสนองความต้องการ รวมถึงไลฟ์สไตล์ของแต่ละกลุ่มลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพบนโซเชียลมีเดียที่เป็นที่นิยม เช่น ไลน์, เฟซบุ๊ก โดยอาศัยฐานข้อมูลสมาชิกเดอะวันการ์ดของบริษัทฯ มาช่วยสนับสนุน ซึ่งคาดว่าจะสามารถกระตุ้นการจับจ่ายสินค้าของลูกค้าได้เป็นอย่างดี อีกทั้งบริษัทฯ มีแผนที่จะเปิดบริการ Social E-Commerce หรือการฝากขายสินค้าบนโซเชียลมีเดียของโรบินสันในช่วงไตรมาสที่ 3 ซึ่งคาดว่าน่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าที่เป็นนักธุรกิจออนไลน์ เนื่องจากบริษัทฯ มีความมั่นใจใน Social Media Platform ที่ค่อนข้างแข็งแรง โดยในปัจจุบันมีผู้ติดตามเฟซบุ๊กกว่า 9 แสนคน และ Line Official ถึง 15 ล้านคน อีกทั้งบริษัทฯ ยังคงเดินหน้านำเสนอแคมเปญการตลาดของทั้งห้างฯ และศูนย์การค้าฯ ตลอดปี โดยมีแคมเปญใหญ่ที่น่าสนใจถึง 11 แคมเปญ ที่มาพร้อมโปรโมชันและสิทธิพิเศษโดนใจมากมาย รวมทั้งในปีนี้บริษัทฯ มีแผนที่จะมุ่งเน้นการสร้างความสัมพันธ์ที่เข้มแข็งกับลูกค้าศูนย์การค้าโรบินสันไลฟ์สไตล์ โดยจะสร้างสรรค์ให้เป็นศูนย์กลางของจังหวัดที่ยั่งยืนในอนาคตเพื่อให้กลายเป็นท็อปออฟมายด์ของลูกค้าในจังหวัดต่างๆ ต่อไป ซึ่งบริษัทฯ ได้วางงบประมาณด้านการส่งเสริมการขายตามแผนงานข้างต้นไว้ราว 600 ล้านบาท
อีกหนึ่งแผนงานที่สำคัญ นั่นคือ แผนงานด้านการบริหารแบรนด์สินค้า บริษัทฯ ยังคงเดินหน้ารุกตลาดเพื่อสร้างความแตกต่างแก่ธุรกิจ โดยชู ‘กลุ่มสินค้าที่ทำการตลาดและจัดจำหน่ายโดยโรบินสัน’ หรือ ‘กลุ่มสินค้า Private Label’ ที่ในปี 2560 ที่ผ่านมามีสัดส่วนยอดขายอยู่ที่ 11.3% โดยกลุ่มสินค้า Private Label ที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ Just Buy (จัสท์ บาย), Payless ShoeSource (เพย์เลส ชูซอร์ส), Baby shop (เบบี้ ช็อป), F.O.F (เอฟ โอ เอฟ), Home&Co (โฮม แอนด์ โค) เป็นต้น ทั้งนี้ กลุ่มสินค้าดังกล่าวไม่ได้สร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อเพิ่มยอดขายหรือผลกำไรเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการช่วยเติมเต็มกลุ่มสินค้าของบริษัทฯ ให้มีความหลากหลาย และมีคุณภาพเพื่อเพิ่มฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ให้กับบริษัทฯ ซึ่งบริษัทฯ จะเดินหน้าพิจารณากลุ่มสินค้าที่เหมาะจะเป็น ‘Private Label’ เพิ่มเติมต่อไปเพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่เน้นความคุ้มค่า คุ้มราคาในการจับจ่ายสินค้าเป็นหลัก โดยในปีนี้บริษัทฯ ตั้งเป้าการเติบโตของยอดขาย ‘กลุ่มสินค้า Private Label’ ที่ประมาณ 13%
อีกทั้งบริษัทฯ ยังได้วางแผนงานด้านการพัฒนาบุคลากรเพื่อเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการพัฒนาองค์กร โดยในปัจจุบันบริษัทฯ มีพนักงานทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดรวมกว่า 5,400 คน ซึ่งสิ่งหนึ่งที่สำคัญในการพัฒนาบุคลากรของบริษัทฯ นั่นคือ การส่งเสริมให้พนักงานทำงานในถิ่นฐานบ้านเกิด ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนของพนักงานกว่า 64% รวมทั้งมีการจ้างงานคนพิการทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดรวมกว่า 40 คน โดยบริษัทฯ ได้วางกลยุทธ์ที่สำคัญในการพัฒนาบุคลากรในปีนี้ ซึ่งยังคงเน้นการพัฒนาบุคลากรในรูปแบบการฝึกอบรม แต่จะเพิ่มเติมการพัฒนาบุคลากรในรูปแบบที่ทันสมัยและใช้เทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้องมากขึ้นเพื่อให้บุคลากรสามารถเติบโตในสายอาชีพควบคู่ไปกับการขยายตัวของธุรกิจโรบินสัน และที่สำคัญที่สุดคือ ต้องการให้พนักงานทำงานอย่างมีความสุข ซึ่งจะส่งผลถึงผลงานโดยรวมของบริษัทฯ ที่จะมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลต่อไป
บริษัทยังคงเดินหน้าแผนงานด้านซีเอสอาร์ โดยให้ความร่วมมือในโครงการประชารัฐของรัฐบาลด้วยการให้พื้นที่เกษตรกรในจังหวัดที่โรบินสันตั้งอยู่เพื่อจำหน่ายสินค้าแก่ลูกค้าโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ซึ่งเป็นการช่วยให้เกษตรกรหรือผู้ผลิตในชุมชนหรือจังหวัดมีช่องทางค้าขาย ได้เรียนรู้การจำหน่าย การทำการตลาด รับทราบถึงข้อดีข้อเสียของผลิตภัณฑ์ตนเองจากลูกค้าโดยตรง และช่วยเพิ่มยอดขายให้เกษตรกรหรือผู้ผลิต เช่น กิจกรรมชอปของดี ชิมของเด่น จากเกษตรกรไทย ที่ศูนย์การค้าโรบินสันไลฟ์สไตล์ ศรีสมาน รวมทั้งยังให้ความสำคัญในการอนุรักษ์พลังงานไทย ด้วยการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา ‘Solar Power Roof” เพื่อผลิตเป็นกระแสไฟฟ้าทดแทนในศูนย์การค้าโรบินสันไลฟ์สไตล์ทั้งสาขาใหม่ และสาขาเดิมที่ตั้งเป้านำระบบเข้าไปติดตั้งราว 10 สาขาภายในระยะเวลาประมาณ 2 ปี อีกทั้งยังเดินหน้า ‘โครงการโรบินสันสานฝันให้น้อง’ เป็นปีที่ 12 โดยเปิดโอกาสให้น้องๆ นักเรียนในต่างจังหวัดที่โรบินสันตั้งอยู่ได้เขียนจดหมายบอกเล่าความฝันในรูปแบบโครงงานที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเอง โรงเรียน และชุมชน เพื่อส่งเข้ามารับการคัดเลือกที่จะสานฝันของน้องๆ ให้เป็นจริง ซึ่งที่ผ่านมามีโรงเรียนที่โรบินสันสานฝันให้น้องไปแล้วถึงปัจจุบันรวม 877 โรงเรียน ใน 31 จังหวัดทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย ซึ่งบริษัทฯ มุ่งมั่นที่จะเดินหน้าสานต่อโครงการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้โครงการได้อยู่คู่สังคมและชุมชน เพื่อสานฝัน สร้างรอยยิ้ม เติมเต็มความสุข แก่น้องๆ ในถิ่นทุรกันดาร รวมทั้งสร้างการพัฒนาที่ยั่งยืนให้แก่สังคมไทยต่อไป
“การดำเนินธุรกิจในปี 2560 นับเป็นอีกปีที่มีสิ่งท้าทายทั้งในด้านเศรษฐกิจ และสภาพการแข่งขันในธุรกิจค้าปลีกในประเทศ รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องของพฤติกรรมการจับจ่ายของลูกค้า บริษัทฯ จึงต้องใช้หลากหลายกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าที่รวดเร็วมากยิ่งขึ้น ซึ่งส่งผลให้ในปีที่ผ่านมาบริษัทฯ มีภาพรวมผลประกอบการเป็นไปในทิศทางตามแผนที่วางไว้ สำหรับในปีนี้ที่สถานการณ์ยังคงมีความท้าทายอย่างต่อเนื่อง แต่ในความท้าทายมักมีโอกาสที่ดีเกิดขึ้น บริษัทฯ มั่นใจว่าจากแผนการดำเนินงานทั้งหมดในปี 2561 ที่จะนำไปสู่สิ่งใหม่ๆ ในธุรกิจ ประกอบกับการที่บริษัทฯ มีทีมงานและบุคลากรที่มีคุณภาพและประสบการณ์ รวมทั้งการมีพันธมิตรทางธุรกิจที่ดี จะส่งผลให้บริษัทฯ สามารถเข้าถึง และตอบสนองไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงไปของกลุ่มลูกค้าได้เป็นอย่างดี ซึ่งจะมีผลต่อความสำเร็จของธุรกิจตามที่ตั้งเป้าโตสอดคล้องกับจีดีพีของประเทศในปีนี้ตามไปด้วย” นายวุฒิเกียรติกล่าวสรุป