สนข.สรุปแผนจัดเก็บค่าผ่านทางรถจากประเทศ AEC แบ่งลงทุน 3 ระยะ โดย 3 ปีแรกเริ่มเก็บค่าธรรมเนียมผ่านแดนกับรถ 4 ล้อต่างชาติด้วยระบบ RFID และบัตรเติมเงินที่ด่านชายแดนทั้ง 28 แห่งก่อน พร้อมเปิดเอกชนร่วมลงทุน นำส่วนแบ่งรายได้อุดหนุนงบค่าซ่อมบำรุงรักษาถนน ยอมรับระยะแรกอาจกระทบภาคการท่องเที่ยวและขนส่งบ้าง
นางวิไลรัตน์ ศิริโสภณศิลป์ รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดการสัมมนาเพื่อนำเสนอผลการศึกษาและรับฟังความคิดเห็นต่อร่างรายงานฉบับสมบูรณ์โครงการศึกษาการจัดเก็บค่าผ่านทางรองรับการขนส่งของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ครั้งที่ 3 ว่า สนข.ได้ศึกษาการจัดเก็บค่าผ่านทางรองรับการขนส่งของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ซึ่งเป็นการศึกษาการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการนำยานพาหนะเข้าประเทศและค่าใช้ทางกับยานพาหนะต่างประเทศ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบายที่จะเป็นประโยชน์ต่อการลดภาระงบประมาณค่าบำรุงรักษาทาง
รวมทั้งสร้างฐานข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการติดตามกำกับดูแลยานพาหนะต่างประเทศ เพื่อภารกิจความมั่นคงและสนับสนุนการวางแผนด้านบริการการท่องเที่ยวให้ตรงต่อความต้องการของนักท่องเที่ยวต่างชาติมากขึ้น รวมทั้งจะมีผลประโยชน์ทางอ้อมที่จะเป็นเครื่องมือส่งเสริมให้เกิดการเปลี่ยนรูปแบบการขนส่ง (modal shift) จากทางถนนมาสู่ทางรางและทางน้ำในระยะยาวอีกด้วย ขณะที่ในระยะสั้น อาจมีความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวและการขนส่งได้
ในขณะที่ปัจจุบันประเทศสมาชิกอาเซียนบางประเทศเริ่มมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการเข้าประเทศและการใช้ทางแล้ว โดยล่าสุดประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์ได้เริ่มนำระบบใบอนุญาตเข้าประเทศ Vehicle Entry Permit หรือ VEP มาใช้ประกอบกับการเรียกเก็บค่าใช้ถนน หรือ Road Charge กับรถต่างประเทศที่เดินทางเข้ามาในประเทศของตน และในอนาคตอันใกล้นี้ประเทศมาเลเซียจะนำระบบ VEP มาใช้บริเวณ ด่านพรมแดนทั้ง 8 แห่งระหว่างประเทศไทยกับประเทศมาเลเซีย และจะนำไปใช้กับด่านพรมแดนระหว่างมาเลเซีย-บรูไน และมาเลเซีย-อินโดนีเซีย ต่อไปตามลำดับ
หลังจากนี้จะสรุปการศึกษาเสนอฝ่ายนโยบายพิจารณา และคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้กลางปี 2561 และจะเริ่มต้นเก็บค่าธรรมเนียมและค่าผ่านทางในช่วงปลายปี 2561 สำหรับผู้ดำเนินการจัดเก็บค่าผ่านทาง อาจให้เอกชนมีส่วนร่วมในการลงทุนก่อสร้างติดตั้งระบบ ดำเนินการและบำรุงรักษา ภายใต้การกำกับดูแลของภาครัฐ เนื่องจากเป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องในด้านความมั่นคงของประเทศ สำหรับแนวทางเบื้องต้น จะเก็บค่าธรรมเนียมการขออนุญาตผ่านทางคันละ 100 บาท มีอายุ 5 ปี และเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางคันละ 42 บาทต่อเที่ยว โดยจะไม่มีการปรับขึ้นค่าธรรมเนียมในช่วง 10 ปีแรก หลังจากนั้นจะปรับขึ้นทุกๆ 5 ปี ส่วนในระยะต่อไปซึ่งมีระบบ GPS ติดตามยานพาหนะที่จะคิดค่าผ่านทางคันละ 500 บาท
คาดว่าจะมีผลตอบแทนการลงทุนที่ 8.9% ซึ่งการศึกษาได้กำหนดแผนการดำเนินงาน แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ประกอบด้วย
ระยะแรก (1-3 ปี) เป็นการเก็บค่าธรรมเนียมผ่านแดนกับรถยนต์นั่ง 4 ล้อต่างชาติ ด้วยระบบ RFID และบัตรเติมเงิน (Contactless Smartcard) ซึ่งจะสามารถตรวจสอบ (Detecting) ยานพาหนะเข้า/ออกด่านชายแดนทั้ง 28 แห่งได้ ซึ่งประเมินมูลค่าลงทุนไว้ที่ 525 ล้านบาท
ระยะกลาง (4-7 ปี) เป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการเก็บค่าธรรมเนียมการใช้ทาง โดยติดตั้งระบบ GPS ซึ่งสามารถติดตาม (Tracking) ยานพาหนะต่างประเทศที่เข้ามาในประเทศไทยได้ โดยสามารถระบุตำแหน่ง เส้นทาง ความเร็ว ของยานพาหนะได้ ลงทุนอีกประมาณ 200 ล้านบาท
ระยะยาว (8-10 ปี) จะพิจารณาขอบเขตการเก็บค่าผ่านทางฯ ไปยังรถยนต์ประเภทอื่นและพื้นที่ด่านชายแดนถาวรที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างหรือมีแผนการก่อสร้างเพิ่มเติม เพื่อให้มีความเหมาะสมสอดคล้องตามสภาพเศรษฐกิจและนโยบายของภาครัฐด้วย
สำหรับที่ตั้งของประเทศไทยเหมาะสมที่จะเป็นศูนย์กลางการค้า คมนาคมขนส่งและลอจิสติกส์ของภูมิภาคอาเซียน โดยมีโครงข่ายถนนครอบคลุมทั่วถึง สามารถเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านได้อย่างสมบูรณ์ ส่งผลให้เมื่อเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนเมื่อปี 2558 แล้ว ปรากฏว่ามียานพาหนะต่างชาติเดินทางเข้ามาในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อประเทศไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น ค่าซ่อมบำรุงรักษาถนน ความสูญเสียจากอุบัติเหตุ มลภาวะทางอากาศและสิ่งแวดล้อม รวมถึงความเสี่ยงต่อภัยความมั่นคงของประเทศ