พีทีที โกลบอลฯ ตั้งเป้าปีหน้ามีรายได้จากการขาย 4.8 แสนล้านบาท โตขึ้น 7-10%จากปีนี้อยู่ที่ 4.5 แสนล้านบาท เนื่องจากรับรู้รายได้จากโรงงานใหม่ที่จะผลิตเชิงพาณิชย์ในต้นปีหน้า
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (PTTGC) เปิดเผยว่า ในปีหน้าบริษัทฯ ตั้งเป้าหมายรายได้จากการขายรวม 4.8 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 7-10% จากปีนี้ที่คาดว่ามีรายได้จากการขายรวม 4.5 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากกำลังการผลิตใหม่ของโรงงานผลิต mlldpe 4 แสนตันต่อปีที่คาดว่าจะผลิตเชิงพาณิชย์ในเดือน ม.ค. 2561 ขณะที่การใช้กำลังการผลิตของโรงกลั่น โรงปิโตรเคมี และโรงอะโรเมติกส์เดินเครื่องเกือบเต็มที่ เหตุปิดซ่อมบำรุงโรงงานน้อยลง และได้รับประโยชน์เต็มที่จากโครงการ Asset Injection ซึ่งเป็นการซื้อหุ้น 6 บริษัทในธุรกิจปิโตรเคมีสายโพรพิลีน สายเคมีภัณฑ์ชีวภาพ ของกลุ่ม บมจ.ปตท. (PTT)
ส่วนแนวโน้มราคาปิโตรเคมีในปีหน้าคาดว่าจะยังดีอยู่แต่อาจจะอ่อนตัวลงไปบ้าง ส่วนธุรกิจอะโรเมติกส์และการกลั่นยังดีอยู่ ขณะที่ทิศทางราคาน้ำมันดิบดูไบก็จะอยู่ที่ 50-60 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากปีนี้ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ย 51 เหรียญสหรัฐ คาดว่าค่าการกลั่นปีหน้าจะอยู่ที่ 7 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ใกล้เคียงปีนี้ที่ 6.8 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล โดยปีหน้าจะรับรู้กำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษี (EBIT) เต็มปีจากโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพทั่วทั้งองค์กร (MAX)ราว 6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีนี้ที่อยู่ราว 3 พันล้านบาท ทำให้ปี 2561 จะยังเป็นปีที่ดีอีกปีหนึ่ง
สำหรับงบลงทุน 5 ปี (2560-2564) วางงบไว้ที่ 5.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 1.8 แสนล้านบาท โดยจะเป็นการลงทุนในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก (EEC) รวม 1.3 แสนล้านบาท ไม่รวมการลงทุนโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ที่สหรัฐฯ ที่อยู่ระหว่างการหาพันธมิตรและทบทวนแผนการลงทุนใหม่ โดยปีหน้าบริษัทวางงบลงทุนไว้ 2 หมื่นล้านบาทตามแผนงานที่วางไว้ รวมทั้งจะเห็นโครงการร่วมลงทุนกับพันธมิตรต่างชาติใหม่ในปีหน้าอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ บริษัทยังวางเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนมูลค่าเพิ่มผลิตภัณฑ์ (HVP) คิดเป็น 50% ของกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อม (EBITDA) ในพอร์ตธุรกิจปิโตรเคมีภายใน 10 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันมีสัดส่วนน้อยกว่า 10% ดังนั้นบริษัทฯ จึงจัดตั้ง CSC (Customer Solution Center) เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า รวมทั้งอยู่ระหว่างการเตรียมแผนเพื่อต่อยอดจากโครงการ MAX ด้วยการนำดิจิตอลเทคโนโลยีมาใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อบริษัทต่อไป
ส่วนความคืบหน้าโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในสหรัฐฯ ปัจจุบันอยู่ระหว่างหาพันธมิตรเข้าร่วมลงทุน คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในสิ้นปีนี้ จากเดิมที่คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือน ต.ค. ส่วนมารูเบนนี ซึ่งเป็นพันธมิตรในโครงการดังกล่าว ล่าสุดยังไม่มีความชัดเจนว่าจะยังร่วมเป็นพันธมิตรต่อหรือไม่ คงต้องรอให้โครงการมีความคืบหน้าชัดเจนก่อน