“พาณิชย์” เดินหน้าบูมเกษตรอินทรีย์ ตั้งเป้าเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกเป็น 6 แสนไร่ ภายในปี 64 เพิ่มขึ้น 3 เท่าจากปัจจุบันที่มีอยู่ 2 แสนไร่ เตรียมลงพื้นที่ให้ความรู้เกษตรกร ผลักดันปลูกสินค้าปลอดสารพิษเพิ่มขึ้น หวังให้ไทยมีอาหารปลอดภัยและรักษาสิ่งแวดล้อม พร้อมเดินหน้าขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ และจับมือ CLMV พัฒนาเกษตรอินทรีย์ร่วมกัน
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงแผนการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ ปี 2560 - 64 ว่า กระทรวงพาณิชย์ได้ตั้งเป้าที่จะผลักดันให้มีการเพิ่มพื้นที่เกษตรอินทรีย์เป็น 6 แสนไร่ ในปี 2564 เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่มี 2 แสนไร่ หรือเพิ่มขึ้น 3 เท่า และผลักดันให้มีเกษตรกรที่ทำเกษตรอินทรีย์ไม่น้อยกว่า 3 หมื่นราย ซึ่งจากนี้ไป กระทรวงจะเดินหน้าลงพื้นที่ ส่งเสริมและผลักดันให้เกษตรกรหันมาทำเกษตรอินทรีย์ให้เพิ่มมากขึ้น เพื่อสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรอย่างยั่งยืน และช่วยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้เติบโต
“จะใช้นโยบายประชารัฐในการเข้าไปส่งเสริมและผลักดันการเพาะปลูกและการผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ โดยจะเข้าไปให้ความรู้ ให้ความช่วยเหลือตั้งแต่การเริ่มต้นเพาะปลูก และเมื่อผลิตสินค้าได้ ก็จะช่วยหาช่องทางการตลาดให้ เพราะสินค้าเกษตรอินทรีย์ถือเป็นสินค้าใหม่ที่มีโอกาสเติบโตสูงมาก ในฐานะที่เป็นอาหารปลอดภัย กระบวนการผลิตปกป้องสิ่งแวดล้อม ซึ่งทุกวันนี้ทั่วโลกให้ความสำคัญมาก โอกาสก็มีมาก”
นางอภิรดี กล่าวว่า ในด้านการหาตลาดรองรับ กระทรวงมีแผนที่จะผลักดันให้สัดส่วนตลาดในประเทศต่อตลาดส่งออกเพิ่มขึ้นเป็น 40% กับ 60%โดยจะเร่งสร้างความตระหนักให้กับผู้บริโภคให้เห็นถึงความสำคัญของการบริโภคสินค้าเกษตรอินทรีย์ ซึ่งหากมีการบริโภคสูงขึ้นก็จะทำให้เกษตรกรหันมาสนใจทำเกษตรอินทรีย์มากขึ้น เพราะมูลค่าตลาดสินค้าอินทรีย์สูงกว่าสินค้าเกษตรปกติ ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น ส่วนในการขยายตลาดต่างประเทศ จะผลักดัน และนำผู้ผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์เข้าร่วมงานแสดงสินค้าอาหารทั้งในไทยและต่างประเทศ เช่น งานไทยเฟ็กซ์ และงาน BIOFACH ซึ่งเป็นงานจัดแสดงสินค้าอินทรีย์นานาชาติที่ใหญ่ และมีเครือข่ายกว้างขวางที่สุดในโลก เพื่อสร้างโอกาสส่งออกให้กับสินค้าเกษตรอินทรีย์ของไทย
นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะขยายตลาดและความร่วมมือในการผลิตและค้าขายสินค้าเกษตรอินทรีย์ระหว่างประเทศอาเซียน เพื่อผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางเกษตรอินทรีย์ของอาเซียน โดยจะเน้นการสร้างเครือข่ายเกษตรอินทรีย์กับกลุ่ม CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และ เวียดนาม) ซึ่งจะมีการเชิญเกษตรกรจาก CLMV มาเรียนรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการทำเกษตรอินทรีย์ระหว่างกัน และมีการลงมือ ปฏิบัติในแปลงสาธิต การอบรมด้านการตลาด และระบบโลจิสติกส์
ขณะเดียวกัน จะเร่งผลักดันผลักดันความร่วมมือระหว่างสมาคมเกษตรอินทรีย์ของประเทศในอาเซียน หลังจากที่ได้ผลักดันให้มีการจัดตั้งสหพันธ์เกษตรอินทรีย์อาเซียน (ASEAN Organic Federation) แล้ว โดยจะเดินหน้าเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับสินค้าอินทรีย์ในกลุ่มประเทศอาเซียน เพื่อให้ภาคส่วนอินทรีย์ของอาเซียนเติบโตอย่างเข้มแข็งไปพร้อมกัน