บ้านปูมั่นใจปีนี้มีรายได้โตกว่า 20% จากราคาถ่านหินสูงขึ้นและรับรู้รายได้เพิ่มจากโรงไฟฟ้าหงสา คาดราคาถ่านหินครึ่งหลังปีนี้ทรงตัวอยู่ตันละ 83 เหรียญสหรัฐ ลุ้นสรุปดีลซื้อเหมืองปลายปีนี้
นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทคาดมีรายได้รวมโตกว่า 20% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 2.26 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือเทียบเท่า 7.97 หมื่นล้านบาท แม้ว่าเป้าหมายปริมาณการขายถ่านหินในปีนี้ใกล้เคียงปีก่อนที่ 45 ล้านตัน แต่ราคาขายถ่านหินของบริษัทในปีนี้คาดเฉลี่ยอยู่ที่ 63 เหรียญสหรัฐ/ตัน สูงขึ้นจากปีก่อนที่ 51.53 เหรียญสหรัฐ/ตัน และยังรับรู้รายได้เพิ่มขึ้นจากโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินหงสาที่เดินเครื่องได้ประสิทธิภาพมากขึ้นทั้ง 3 ยูนิตจากปีก่อนที่ต้องหยุดเดินเครื่องบ่อย
ในครึ่งปีแรกบริษัทขายถ่านหินไปแล้วราว 21 ล้านตัน แบ่งเป็นการจำหน่ายถ่านหินจากเหมืองที่อินโดนีเซีย 11 ล้านตัน ออสเตรเลีย 7.2 ล้านตัน และจีน 2.4 ล้านตัน ทำให้ครึ่งปีหลังบริษัทจะขายถ่านหินเพิ่มมากขึ้น โดยปีนี้บริษัทวางเป้าหมายการผลิตถ่านหินที่เหมืองอินโดนีเซีย 27 ล้านตัน ซึ่งมีการกำหนดราคาขายล่วงหน้าไว้แล้ว 60% ของปริมาณการขายทั้งหมดที่ราคาเกิน 60 เหรียญสหรัฐ/ตัน อีก 23% กำหนดราคาอ้างอิงตามตลาดโลก และอีก 17% ขายล่วงหน้าแล้วแต่อยู่ระหว่างกำหนดราคา
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าราคาถ่านหินในตลาดโลกช่วงครึ่งหลังปีนี้จะทรงตัวระดับใกล้เคียงปัจจุบันที่ 83 เหรียญสหรัฐ/ตัน ดีกว่าปีก่อนที่เฉลี่ย 60 เหรียญสหรัฐ/ตัน เนื่องจากอินโดนีเซียและออสเตรเลียไม่ได้ส่งออกถ่านหินเพิ่มมากขึ้น ส่วนความกังวลว่าจีนจำกัดการนำเข้าถ่านหินก็ไม่ชัดเจน ทำให้ราคาถ่านหินในตลาดโลกยืนระดับ 80เหรียญสหรัฐ/ตันต่อเนื่องมา 7-8 สัปดาห์แล้ว และมองว่าเป็นระดับราคาที่ดีมานด์และซัปพลายสมดุลกัน อย่างไรก็ตาม บริษัทยังมองโอกาสซื้อเหมืองถ่านหินข้างเคียงคาดว่าจะสำเร็จอย่างน้อย 1 ดีลในปีนี้
สำหรับธุรกิจไฟฟ้า บริษัทมีแผนการขยายการลงทุนธุรกิจไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเพื่อให้ได้กำลังการผลิตตามเป้าหมายที่วางไว้ 4,300 เมกะวัตต์ในปี 2568 จากปัจจุบันมีกำลังผลิต 2,069 เมกะวัตต์ โดยบริษัทจะหันมารุกธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนมากขึ้นโดยเฉพาะโซลาร์ฟาร์มในจีนเนื่องจากการขยายโรงไฟฟ้าถ่านหินขนาดใหญ่ในจีนทำได้ยากขึ้น ขณะนี้บริษัทมีกำลังผลิตไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มในจีนที่จ่ายไฟแล้ว 160 เมกะวัตต์ คาดว่าจะขยายเพิ่มได้เกินกว่า 300 เมกะวัตต์ภายในปี 2563 สูงกว่าเป้าหมายเดิมที่วางไว้แค่ 300 เมกะวัตต์ ส่วนญี่ปุ่นก็มีแผนลงทุนโซลาร์ฟาร์มครบ 200 เมกะวัตต์ ขณะนี้จ่ายไฟไปแล้ว 12 เมกะวัตต์ ปลายปีจะจ่ายไฟเพิ่มอีก 10 เมกะวัตต์
นางสมฤดีกล่าวยืนยันว่า บริษัทไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ทางภาคใต้ของจีน และการจำกัดการนำเข้าถ่านหินโดยมีการปิดท่าเรือขนาดเล็กทางตะวันออกของประเทศ แต่บริษัทกลับได้รับผลดีจากเหตุการณ์ดังกล่าวเพราะทำให้ราคาถ่านหินในจีนปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 600 หยวน/ตัน หรือคิดเป็น 86 เหรียญสหรัฐ/ตัน สูงกว่าราคาที่จีนกำหนดไว้ที่ 550 หยวน เนื่องจากปริมาณการผลิตถ่านหินในจีนไม่เพียงพอเพราะมีการปิดเหมืองขนาดเล็กจำนวนมาก
“เพิ่งเดินทางกลับจากจีน พบว่าที่นั่นอากาศร้อนมาก 37-43 องศาเซลเซียส ทำให้จีนมีแนวโน้มการใช้พลังงานเพิ่มขึ้นในการผลิตไอเย็นและไฟฟ้า ซึ่งส่งผลดีต่อธุรกิจโรงไฟฟ้าถ่านหินที่เจิ่งติ้งของบ้านปู รวมทั้งเหตุการณ์น้ำท่วมทางตอนใต้ของจีนทำให้โรงไฟฟ้าพลังน้ำจากเขื่อน 2 แห่งผลิตไฟน้อยเพราะเขื่อนลดการระบายน้ำออกมา ทำให้ต้องมีการเดินโรงไฟฟ้าจากถ่านหินเพิ่มขึ้นเพื่อชดเชย โดยจีนมีนโยบายให้มณฑลที่มีเหมืองถ่านหินขนาดใหญ่ไม่ว่าจะเป็นซานซี เขตปกครองตนเองมองโกเลียใน และส่านซี เป็นเบสโหลดในการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินเพื่อป้อนให้มณฑลอื่นๆ โดยมีการขยายสายส่งเป็น 1,000 Kv ทำให้ความต้องการใช้ถ่านหินในจีนจะไม่ลดลงจากปีละ 3พันล้านตัน แต่โตขึ้นในอัตราที่ลดลง”