“สมฤดี” หญิงเหล็กบ้านปู กร้าวเพิ่มยอดขายถ่านหินปี 2560 ให้ได้ 47 ล้านตัน จากปีก่อนที่ขายได้ 44 ล้านตัน แย้มแผนลงทุนเจรจาเข้าซื้อเหมืองถ่านหินทั้งในอินโดฯ และออสเตรเลีย หวังเพิ่มกำลังการผลิตให้เพียงพอต่อธุรกิจพลังงาน ตั้งเป้าหมายผลิตไฟฟ้าให้ได้ 4,300 เมกะวัตต์ ภายในปี 2568
นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บ้านปู (BANPU) กล่าวในที่ประชุมผู้ถือหุ้นวันนี้ ว่า แผนการดำเนินงานในปี 60 ในธุรกิจถ่านหิน บริษัทฯ คาดปริมาณการขายถ่านหินในปีนี้จะอยู่ที่ราว 47 ล้านตัน จากปีก่อนที่อยู่ที่ 44.5 ล้านตัน แบ่งเป็นการขายในประเทศอินโดนีเชีย 25.5 ล้านตัน, ออสเตรเลีย 12.5 ล้านตัน และจีน ราว 9-10 ล้านตัน เป็นไปตามแนวโน้มราคาถ่านหินที่เริ่มปรับตัวดีขึ้น จากปี 59 อยู่ที่ 51.5 เหรียญสหรัฐต่อตัน โดยเชื่อว่าทิศทางของราคาถ่านหินจากนี้ไป ดีมานด์ และซัปพลายน่าจะปรับตัวสมดุลกันมากขึ้น ส่งผลทำให้ราคามีเสถียรภาพมากขึ้น และน่าจะทำให้รายได้ของบริษัทฯ เติบโตดีกว่าปีก่อน
ขณะที่การขายถ่านหินล่วงหน้าในประเทศอินโดนีเซีย มีการขายถ่านหินไปแล้ว 61% และยังเหลืออีก 39% ที่ยังไม่ได้ขาย ซึ่งอยู่ระหว่างรอดูจังหวะราคาขายที่เหมาะสม และในประเทศออสเตรเลีย ได้มีการขายถ่านหินไปแล้ว 89% เหลืออีก 11% ที่ยังไม่ได้ขาย
พร้อมกันนี้การดำเนินงานอื่นๆ ของธุรกิจถ่านหิน บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นการพัฒนาประสิทธิภาพ และประสิทธิผลในการผลิตอย่างต่อเนื่อง, พัฒนาระบบการขนส่ง โดยการพัฒนาถนนที่ใช้ในการขนส่ง บริหารการขนส่งโดยรถไฟ ปรับปรุงเครื่องจักรลำเลียงถ่านหิน และปรับปรุงการขนส่งทางเรือ, พัฒนาการดำเนินการขายจากการพัฒนาสินค้า และการขยายฐานลูกค้า ซึ่งบริษัทฯ จะขยายฐานลูกค้าไปยังประเทศจีนมากขึ้น รวมถึงเพิ่มผลกำไรในทุกสัดส่วนของการผลิต จากการบริหารการซื้อถ่านหินในบริษัทอื่น และบริหารต้นทุนราคาน้ำมัน
“การลงทุนของธุรกิจถ่านหิน บริษัทฯ ก็อยู่ระหว่างศึกษาการลงทุน หรือเข้าซื้อเหมืองถ่านหินแห่งใหม่ในประเทศอินโดนีเชีย คาดว่าน่าจะเห็นความชัดเจนได้ภายในปีนี้ และก็อยู่ระหว่างศึกษาการเข้าซื้อเหมืองถ่านหินในประเทศออสเตรเลีย เพิ่มเติมเข้ามาอีกด้วยเช่นกัน”
อย่างไรก็ตาม มองว่าธุรกิจพลังงานระยะยาวจากปัจจุบันถึงเป้าหมายในปี ในปี 2568 จะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 4,300 เมกะวัตต์ และจะมีสัดส่วนของพลังงานหมุนเวียนไม่น้อยกว่า 20% จากปัจจุบันมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 1,930 เมกะวัตต์
ทั้งนี้ แผนการดำเนินงานในธุรกิจพลังงาน ขณะนี้ก็อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินซานซีลู่กวง มณฑลซานซี ประเทศจีน กำลังการผลิต 1,320 เมกะวัตต์ ซึ่งมีการดำเนินงานไปแล้วราว 35% คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จในปี 2561 และน่าจะสามารถรับรู้กำไรเข้ามาได้ในช่วงปลายปีหน้า
ขณะที่ในส่วนของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบันมีกำลังการผลิตในมืออยู่ที่ 200 เมกะวัตต์ โดยได้มีการจ่ายไฟฟ้าเข้าสู่ระบบ (COD) แล้ว 103.6 เมกะวัตต์ และอยู่ระหว่างการพัฒนาอีกจำนวน 97 เมกะวัตต์ ซึ่งขณะนี้ก็ได้มีการจัดหาเงินทุนไว้แล้ว โดยยังมองโอกาสการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์อย่างต่อเนื่องในประเทศไทย, เวียดนาม, ลาว และจีน ประกอบกับยังมองโอกาสการลงทุนในธุรกิจพลังงานอื่นๆ เช่น พลังงานลมในแถบเอเชียแปซิฟิกอีกด้วย
นอกจากนี้ ด้านธุรกิจ Oil & Gas ที่ปัจจุบันมีอยู่ 2 โครงการ ในสหรัฐฯ ก็คาดว่าในปีนี้จะได้รับผลบวกจากนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ
“บริษัทฯ ยังคงแผนการดำเนินงาน 5 ปี (59-63) ไว้ตามเดิม โดยมองว่า สัดส่วนรายได้ของธุรกิจถ่านหินจะเพิ่มขึ้นเป็น 78% จากปัจจุบันที่อยู่ที่ 70% เป็นไปตามการผลิต และราคาถ่านหินที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากความต้องการใช้ถ่านหินที่ยังอยู่ในระดับสูง และธุรกิจพลังงาน คาดว่าในปี 63 จะมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 2,580 เมกะวัตต์ ซึ่งจะทำให้มีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 20% จากปัจจุบันอยู่ที่ 25% ขณะที่ธุรกิจ Oil&Gas จะมีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 3% จากปัจจุบันอยู่ที่ 5%”
ทั้งนี้ ที่ประชุมผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ได้ลงมติเห็นด้วย และอนุมัติให้บริษัทฯ เสนอออก และขายหุ้นกู้ในวงเงินไม่เกิน 20,000 ล้านบาท โดยจะเป็นสกุลเงินบาท หรือสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ หรือสกุลเงินต่างประเทศอื่นๆ ได้ตามสมควร เพื่อทดแทนมติวงเงินหุ้นกู้เดิม ที่จะครบกำหนดระยะเวลา 5 ปี โดยบริษัทฯ มีแผนที่จะใช้ก็ต่อเมื่อมีความต้องการใช้เงิน ซึ่งในอดีตที่ผ่านมา ก็จะมีการออกหุ้นกู้ปีละ 1-2 ครั้ง ขึ้นอยู่กับภาวะตลาดในช่วงนั้นๆ อีกทั้งการประชุมผู้ถือหุ้นยังได้ลงมติเห็นด้วย และอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียน 1,500,000 ล้านบาท และการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุน 1,500,000 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท เพื่อรองรับการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นของ BANPU-W3 ภายหลังการปรับสิทธิ