ผู้จัดการรายวัน 360 - กลุ่มบริษัทบ๊อชชูไทยตลาดหลักสร้างรายได้สูงสุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 4 ปีซ้อน เผยในรอบ 5 ปีลงทุนต่อเนื่องเฉียด 4 พันล้านบาท ขานรับนโยบาย “ประเทศไทย 4.0” มุ่งสู่การเป็นผู้ให้บริการโซลูชันด้าน IoT ชั้นนำ สร้างความแข็งแกร่งและจุดต่างให้ไทยในเวทีเศรษฐกิจระดับโลก
นายโจเซฟ ฮง กรรมการผู้จัดการ “บ๊อช ประเทศไทย” เปิดเผยว่า “บ๊อช ประเทศไทย” เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มในเครือบริษัทบ๊อช ซึ่งเป็นผู้จัดจำหน่ายเทคโนโลยีและบริการชั้นนำของโลก มีรายได้รวมในปีการเงิน 2559 รวมทั้งสิ้น 7.31 หมื่นล้านยูโร แบ่งสัดส่วนรายได้จาก 4 หน่วยธุรกิจ ได้แก่ กลุ่มโซลูชันแห่งการขับเคลื่อน (เทคโนโลยียานยนต์) 4.39 หมื่นล้านยูโร คิดเป็น 60% กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค 1.76 หมื่นล้านยูโร คิดเป็น 24% กลุ่มเทคโนโลยีอุตสาหกรรม 6.3 พันล้านยูโร คิดเป็น 9% และกลุ่มเทคโนโลยีพลังงานและอาคาร 5.2 พันล้านยูโร คิดเป็น 7%
สำหรับผลการดำเนินงานในประเทศไทยมีรายได้รวม 305 ล้านยูโร (1.19 หมื่นล้านบาท) เติบโตขึ้น 10% ถือเป็นตลาดที่สร้างรายได้สูงสุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ติดต่อกัน 4 ปี โดยมีสัดส่วนรายได้จากหน่วยธุรกิจต่างๆ ใกล้เคียงกับรายได้รวมในตลาดโลก ขณะที่ภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้มีรายได้รวม 2.08 หมื่นล้านยูโร เติบโตขึ้น 8.3% คิดเป็นสัดส่วน 28% ของรายได้ทั่วโลก เติบโตขึ้นจากปี 2558 ที่มีสัดส่วน 27%
จากการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยพบว่ากลุ่มโซลูชันแห่งการขับเคลื่อนเติบโตขึ้นจากอุตสาหกรรมชิ้นส่วนประกอบรถยนต์ที่มีความต้องการและการผลิตในประเทศเพิ่มขึ้น ขณะที่กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคมีการเติบโตปานกลางจากการขยายตัวของช่องทางการจัดจำหน่ายและช่องทางธุรกิจอี-คอมเมิร์ซที่เป็นไปอย่างต่อเนื่อง ส่วนกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีอุตสาหกรรมมีการเติบโตตามโครงการต่างๆ ในอุตสาหกรรมยานยนต์ และกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีพลังงานและการก่อสร้างมีรายได้เพิ่มขึ้นจากความต้องการในตลาดและอุตสาหกรรมการผลิตที่ขยายตัว ประกอบกับการใช้จ่ายของภาครัฐทางด้านโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง
“ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมากลุ่มบริษัทบ๊อชลงทุนในประเทศไทยคิดเป็นมูลค่ากว่า 100 ล้านยูโร หรือ 3.92 พันล้านบาท โดยเฉพาะในปี 2559 มีการลงทุนถึง 50.2 ล้านยูโร หรือ 1.96 พันล้านบาท ครอบคลุมการก่อสร้างโครงสร้างขั้นพื้นฐานสำหรับการวิจัยและพัฒนาภายในโรงงานผลิตหัวฉีดเชื้อเพลิง จ.ระยอง และการขยายสายการผลิตภายในโรงงานบรรจุภัณฑ์ จ.ชลบุรี รวมถึงการก่อสร้างโรงงานผลิตหัวฉีดเชื้อเพลิงในประเทศไทย ภายในนิคมอุตสาหกรรมเหมราช อีสเทิร์นซีบอร์ด จ.ระยอง เพื่อรองรับการขยายตัวของผู้ผลิตยานยนต์ พร้อมมุ่งรักษาความเป็นผู้นำในตลาดหัวฉีดเชื้อเพลิง โดยคาดว่าจะพร้อมเดินสายการผลิตได้ประมาณไตรมาสที่ 4 ของปี 2560”
นายโจเซฟกล่าวด้วยว่า “บ๊อช ประเทศไทย” มีแนวโน้มการเติบโตในทิศทางที่ดี อันเป็นผลมาจากนโยบายประเทศไทย 4.0 ของรัฐบาลซึ่งช่วยสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านโมเดลธุรกิจของกลุ่มบริษัทบ๊อชเป็นไปอย่างราบรื่น จากการเป็นผู้ผลิตชั้นนำของโลกด้านผลิตภัณฑ์และบริการ ไปสู่การเป็นผู้ให้บริการโซลูชันด้าน IoT ชั้นนำ ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมกันผลักดันประเทศไทยให้สามารถสร้างความแตกต่างในเวทีเศรษฐกิจระดับโลกที่มีการแข่งขันสูงขึ้น
สำหรับปี 2560 กลุ่มบริษัทบ๊อชตั้งเป้าการเติบโตของยอดขายประมาณ 3-5% อันเป็นผลมาจากภาพรวมทางเศรษฐกิจโลกที่ยังซบเซา รวมถึงความผันผวนทางการเมืองในภูมิภาคต่างๆ แต่ยังจะมีการลงทุนต่อเนื่องเป็นจำนวนมากเพื่อรองรับผลตอบแทนในอนาคต โดยให้ความสำคัญในเรื่องเทคโนโลยีการขับเคลื่อน, เทคโนโลยีการเชื่อมต่อของ IoT (Internet of Things) และปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence หรือ AI)
“มีการคาดการณ์ว่าภายในปี 2563 จะมีผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์มากกว่า 50 ล้านชิ้นที่เชื่อมต่อด้วยระบบ IoT กลุ่มบริษัทบ๊อชจึงกำหนดแผนลงทุนในระยะเวลา 5 ปีด้วยงบประมาณ 300 ล้านยูโร เพื่อพัฒนาศูนย์ปัญญาประดิษฐ์ของกลุ่มบริษัทบ๊อชทั้ง 3 แห่งในสหรัฐอเมริกา เยอรมนี และอินเดีย เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์รุ่นใหม่ให้สามารถสร้างรายได้เป็นสัดส่วน 10% ของรายได้รวม” นายโจเซฟกล่าวในที่สุด