IMD สวิตเซอร์แลนด์ เผยอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศประจำปี 2560 ไทยขยับขึ้นมาอยู่อันดับที่ 27 ดีกว่าปีก่อนที่อันดับ 28 ดีขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 รั้งอันดับ 3 ของอาเซียนรองจากสิงคโปร์และมาเลเซีย เป็นผลมาจากความพยายามทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานคณะอนุกรรมการด้านการจัดการข้อมูลและการสื่อสารประชาสัมพันธ์ และประธานศูนย์เพื่อการพัฒนาความสามารถในการแข่งขัน TMA (TMA Center for Competitiveness) เปิดเผยว่า ผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศจาก World Competitiveness Center ของ International Institute for Management Development หรือ IMD สวิตเซอร์แลนด์ ประจำปี 2560 ประเทศไทยมีอันดับดีขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 โดยขยับขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 27 จากปีก่อนที่อยู่อันดับ 28 จากผลสำรวจ 63 ประเทศทั่วโลก ซึ่งผลสำรวจฯ ในปี 2560 ฮ่องกงและสวิตเซอร์แลนด์ยังคงครองอันดับที่ 1 และ 2 เช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา ในขณะที่สิงคโปร์เลื่อนขึ้นมาเป็นอันดับที่ 3 ทำให้สหรัฐอเมริกาตกไปเป็นอันดับที่ 4
ในปี 2560 ผลการจัดอันดับของไทยดีขึ้นทั้งโดยคะแนนและอันดับ โดยคะแนนภาพรวมในปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 80.095 เปรียบเทียบกับ 74.681 ในปี 2559 และมีอันดับเลื่อนขึ้นจาก 28 ในปี 2559 เป็น 27 ในปี 2560 ในขณะที่เมื่อเปรียบเทียบกับ 5 ประเทศอาเซียนที่อยู่ในการจัดอันดับนี้ ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซียแล้ว ไทยยังคงอยู่ในอันดับที่ 3 รองจากสิงคโปร์ และมาเลเซีย ซึ่งไทย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซียมีอันดับดีขึ้น ในขณะที่มาเลเซียมีอันดับลดต่ำลง
เมื่อพิจารณาคะแนนที่ประเทศไทยได้รับ ในระยะตั้งแต่ปี 2556-2560 จะเห็นได้ว่ามีคะแนนสูงขึ้นมาโดยตลอดนับตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นมา และเริ่มมีแนวโน้มสูงกว่าคะแนนเฉลี่ยของทุกประเทศที่ได้รับการจัดอันดับตั้งแต่ปี 2558 โดยในปี 2560 ประเทศไทยมีคะแนน 80.095 ในขณะที่คะแนนเฉลี่ยของ 63 ประเทศที่ได้รับการจัดอันดับเท่ากับ 77.033
การที่ไทยมีผลการจัดอันดับในปีนี้ดีขึ้นทั้งคะแนนและอันดับ โดยเป็นปีแรกที่มีคะแนนรวมเกินกว่า 80 คะแนนและสูงกว่าคะแนนเฉลี่ยรวมของทุกประเทศ เป็นการยืนยันว่าการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศเป็นสิ่งที่ทั้งรัฐและเอกชนต้อง มีจุดหมายร่วมกันและลงมือขับเคลื่อนไปพร้อมกัน ซึ่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมาทั้งภาครัฐและเอกชนได้ร่วมมือกันผลักดันและสร้างความเปลี่ยนแปลงในประเด็นสำคัญๆ ที่เป็นฐานสำหรับการพัฒนาประเทศในระยะยาวไปหลายเรื่อง
ในการจัดอันดับฯ ของ IMD มีการพิจารณา 4 ด้าน คือ สภาวะเศรษฐกิจ ประสิทธิภาพของภาครัฐ ประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ และโครงสร้างพื้นฐาน ปรากฏว่าปัจจัยที่ไทยมีอันดับดีที่สุดคือ สภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 10 จาก 63 ประเทศ โดยมีอันดับดีขึ้นถึง 3 อันดับจากปี 2559 ในขณะที่ปัจจัยด้านประสิทธิภาพของภาครัฐมีอันดับดีขึ้น 3 อันดับเช่นเดียวกัน ทำให้อยู่ในอันดับที่ 20 ในปีนี้
ส่วนปัจจัยด้านประสิทธิภาพของภาคธุรกิจและโครงสร้างพื้นฐานมีอันดับคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง โดยมีอันดับที่ 25 และ 49 ตามลำดับในปี 2560
ดร.ปัทมา เธียรวิศิษฎ์สกุล รองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวว่า ผลการจัดอันดับชี้ว่าสมรรถนะทางเศรษฐกิจและประสิทธิภาพของภาครัฐอันดับดีขึ้นถึง 3 อันดับ สะท้อนให้เห็นถึงสภาวะเศรษฐกิจระดับมหภาคที่ส่งสัญญาณดีขึ้น และการปรับปรุงในด้านกฎระเบียบและกฎหมายธุรกิจที่ส่งผลดีให้ดำเนินธุรกิจมีความสะดวกและคล่องตัวมากขึ้น นักธุรกิจจึงมีความเชื่อมั่นต่อประสิทธิภาพการให้บริการภาครัฐที่เอื้อต่อการทำธุรกิจของภาคเอกชนมากขึ้น รวมทั้งมีความเชื่อมั่นต่อความสามารถในการบริหารจัดการนโยบายของรัฐบาลมากขึ้นเช่นเดียวกัน
เมื่อพิจารณาเป็นรายหมวด ด้านสภาวะเศรษฐกิจ มีปัจจัยย่อยที่มีอันดับดีขึ้นถึง 3 ด้าน ได้แก่ เศรษฐกิจภายในประเทศ ที่ขึ้นมาเป็นอันดับที่ 33 จากอันดับที่ 37 ในปี 2559 การค้าระหว่างประเทศ อยู่ในอันดับที่ 3 จากอันดับที่ 6 ในปี 2559 ราคาและค่าครองชีพ ที่อันดับดีขึ้นมากจากอันดับที่ 45 เป็นอันดับที่ 28
ในขณะที่ด้านการจ้างงาน ยังอยู่ในอันดับที่ดีมากคืออันดับที่ 3 เช่นเดียวกับปีก่อน เรื่องที่มีอันดับลดลงคือ การลงทุนระหว่างประเทศ จากอันดับที่ 28 ในปี 2559 เป็นอันดับที่ 37 ในปีนี้ จุดเด่นของประเทศไทยในหมวดนี้ยังคงเป็นด้านที่เกี่ยวกับการจ้างงาน รายได้จากการท่องเที่ยว และความมั่นคงของบัญชีเดินสะพัด
ส่วนประเด็นที่ยังต้องพัฒนาต่อไปคือ รายได้ประชาชาติต่อหัวของประชากรที่อยู่ในอันดับที่ 54 ด้านค่าครองชีพ ความเสี่ยงจากการย้ายฐานการผลิต และด้านการลงทุนทางตรงทั้งจากต่างประเทศและการออกไปลงทุนในต่างประเทศ เป็นต้น
ด้านประสิทธิภาพของภาครัฐ มีอันดับที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องใน 3 ปีล่าสุด ปัจจัยย่อยมีอันดับที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ กฎหมายด้านธุรกิจ ที่ดีขึ้นถึง 6 อันดับจากปี 2559 โดยขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 38 จากอันดับที่ 44 ในปีก่อนหน้า และกรอบการบริหารด้านสังคม ที่ขึ้นมาเป็นอันดับที่ 30 จาก 33 ในปีที่แล้ว
นอกจากนี้ นโยบายภาษีนั้นยังคงได้อันดับที่สูงกว่าเดิมจากที่เคยสูงอยู่แล้ว โดยขึ้นมาอยู่ในอันดับ 4 ในปี 2560 อีกด้วย
แม้ว่าผลการจัดอันดับด้านโครงสร้างพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ในภาพรวมยังอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ แต่เมื่อพิจารณาในรายละเอียดพบว่าตัวชี้วัดย่อยเกี่ยวกับการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาและบุคลากรด้านวิจัยมีอันดับดีขึ้นในทุกประเด็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาของภาคเอกชนที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ตัวชี้วัดในเชิงมูลค่าปรับตัวดีขึ้นถึง 4 อันดับ และสัดส่วนค่าใช้จ่ายด้าน R&D ของภาคธุรกิจต่อ GDP ปรับตัวดีขึ้นถึง 10 อันดับ นอกจากนั้น ความเห็นของภาคธุรกิจต่อความสามารถในการสร้างนวัตกรรม (Innovation Capacity) ของประเทศก็ปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่ด้านการศึกษา ต้องเร่งพัฒนาความสามารถทางภาษาอังกฤษของบุคลากร รวมทั้งความสามารถทางวิชาการโดยเฉพาะด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ และการปรับปรุงอัตราส่วนของครูต่อนักเรียนในระดับมัธยมศึกษา เป็นต้น
“ถึงแม้ว่าเราจะมีอันดับที่ดีขึ้นในปีนี้ แต่ประเทศอื่นๆ ในโลกต่างก็เร่งพัฒนาตนเองไปเช่นเดียวกับเรา เพราะฉะนั้นเราจะต้องพยายามทำให้มากขึ้นและเร็วขึ้น โดยประเด็นท้าทายที่เราต้องขับเคลื่อนให้ก้าวหน้าไปให้ได้ คือการพัฒนาคนให้มีความรู้เหมาะสมกับโลกยุคใหม่ และการสร้างองค์ความรู้และนวัตกรรมเพื่อสร้างความเข้มแข็งทั้งทางด้านเศรษฐกิจ และสังคม” นายเทวินทร์กล่าว
ทั้งนี้ ในวันที่ 20-21 กรกฎาคม 2560 สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) จะมีการจัดสัมมนา “Thailand Competitiveness Enhancement Program: Reinforcing the Foundation for Competitiveness” มุ่งเน้นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการสร้างความสามารถในการแข่งขันภายใต้สภาพแวดล้อมของโลกยุคใหม่ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และการสร้างรากฐานเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ