“พิชิต” สั่งรถไฟปั๊มรายได้เพิ่มปีละหมื่นล้าน ขีด 3 เดือนตั้ง บ.บริหารทรัพย์สินฯ พัฒนาทำเลทอง

“พิชิต” สั่งรถไฟทำ 3 แผนหลักเพื่อปฎิรูปองค์กร ลดขาดทุน ตั้งเป้าเพิ่มรายได้ปีละหมื่นล้าน พร้อมเร่งตั้ง บ.บริหารทรัพย์สินใน 3 เดือน ดึงมืออาชิพช่วยพัฒนาที่ดินทำเลทองและทั่วประเทศให้มีรายได้เพิ่มอีก 3-4 เท่าจากปัจจุบันที่มีรายได้แค่ปีละ 3 พันล้าน ชี้ศักยภาพที่ดินรถไฟสูงมากแต่บริหารได้ผลตอบแทนต่ำ ขณะที่สั่งทำแผนเพิ่มรายได้จากผู้โดยสารและสินค้า และพัฒนาโครงข่ายเชื่อม EEC ระบุอาจต้องปรับเพิ่มค่าเช่าที่ดินบ้างแบบทยอยเพื่อไม่ให้กระทบผู้เช่าเดิม

นายพิชิต อัคราทิตย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังหารือร่วมกับคณะกรรมการ (บอร์ด) และผู้บริหารการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ว่าได้ให้นโยบายและติดตามงานของ ร.ฟ.ท.ซึ่งพบว่าจะต้องเร่งปฏิรูปรถไฟให้เป็นรูปธรรมอย่างจริงจัง และลดการขาดทุนให้ได้ โดย ร.ฟ.ท.จะต้องสร้างรายได้เพิ่มให้ได้มากกว่า 10,000 ล้านบาทต่อปี เนื่องจากปัจจุบัน ร.ฟ.ท.ขาดทุนจากการเดินรถประมาณ 7,500 ล้านบาทต่อปี จากกิจการรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงก์ 280-300 ล้านบาทต่อปี จึงต้องขอรับการอุดหนุนจากรัฐทุกปี ซึ่งกลายเป็นภาระของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ โดย ร.ฟ.ท.จะต้องเร่งจัดทำแผนใน 3 เรื่อง คือ การบริหารทรัพย์สิน โดยให้เร่งรัดแผนการการจัดตั้งบริษัทพัฒนาสินทรัพย์ให้ได้ภายใน 3 เดือน เพื่อบริหารจัดการทรัพย์สินรถไฟที่มีจำนวนมากให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยเฉพาะที่ดินที่ไม่เกี่ยวกับการเดินรถอย่างน้อย 4 หมื่นไร่ที่มีศักยภาพ

2. แผนปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพและรายได้จากการเดินรถโดยสารและรถสินค้า 3. ทำแผนการพัฒนาที่เกี่ยวเนื่องกับแผนโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) โดยให้ส่งแผนภายใน 2 สัปดาห์ ซึ่ง ร.ฟ.ท.จะต้องตั้งคณะทำงานเรื่องปฏิรูปโดยตรง และทำงานประสานกับคณะทำงานของกระทรวง คมนาคม เพื่อเร่งนำไปสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมต่อไป

โดยปัจจุบันผลตอบแทนจากที่ดินรถไฟทั่วประเทศ มีประมาณ 3,000 ล้านบาทต่อปี หรือเพียง 1% เมื่อเทียบกับราคาตลาดขององค์กรอื่นๆ ที่เฉลี่ยมีถึง 4-5% ซึ่งเป็นการบริหารจัดการทรัพย์สินได้ต่ำกว่ามาตรฐานของตลาดมาก ดังนั้น การตั้งบริษัทพัฒนาสินทรัพย์จะช่วยเพิ่มผลตอบแทนได้อีก 3-4 เท่าตัว และทำให้ ร.ฟ.ท.พลิกฟื้นสถานการณ์สร้างรายได้เพิ่ม โดยบริษัทพัฒนาสินทรัพย์จะเป็นบริษัทลูกที่ ร.ฟ.ท.ถือหุ้น 100% เพื่อดูแลในเชิงนโยบาย ส่วนการบริหารจัดการจะมีรูปแบบเป็นเอกชน มีความคล่องตัวเพราะแยกระบบบัญชี และดึงมืออาชีพ หรือ Outsource มาช่วย ซึ่งจะเป็นการพัฒนาบุคลากรของ ร.ฟ.ท.อีกทางหนึ่งด้วย ทั้งนี้การพัฒนาที่ดินรถไฟนอกจากสร้างรายได้เพิ่มให้องค์กรแล้วยังเป็นการพัฒนากรุงเทพฯ ให้เป็นมหานครของโลกอีกด้วย

ส่วนการปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพและรายได้จากการเดินรถโดยสารจะต้องแยกกลุ่มผู้โดยสาร เพื่อจัดรูปแบบการให้บริการให้ตรงตามความต้องการของกลุ่มลูกค้า เช่น กลุ่มที่มีรายได้สูง สามารถสร้างรายได้จากลูกค้ากลุ่มนี้ โดยสร้างบริการที่ดี เช่น เชื่อมต่อเข้าสถานีสะดวก มีจุดจอดรถ และมีความปลอดภัยในการใช้บริการ เพราะรายได้จากผู้โดยสารกลุ่มนี้จะไปช่วยดูแลรายได้จากผู้โดยสารกลุ่มที่มีรายได้น้อยได้ ซึ่งจะนำ ข้อมูลจากการขึ้นทะเบียนผู้มีรายได้น้อยของรัฐบาลมาใช้ประโยชน์ ไม่ให้รัฐเสียประโยชน์ในการใช้งบประมาณ ส่วนการขนส่งสินค้านั้นจะต้องพยายามให้เกิดการชิพโหมดจากรถบรรทุกมาใช้รถไฟให้มากขึ้น ซึ่งจะเป็นการเพิ่มรายได้ของ ร.ฟ.ท.แล้วยังเป็นการลดต้นทุนโลจิสติกส์ของประเทศ ตามนโยบายรัฐบาล อีกด้วย

สำหรับ EEC เขตเศรษฐกิจความหวังของประเทศในการดึงดูดการลงทุนจากประเทศ และยกระดับอุตสาหกรรมไทยจากระดับการพึ่งพาแรงงาน เป็นพึ่งพาองค์ความรู้ ซึ่ง ร.ฟ.ท.มีหน้าที่ในการเชื่อมต่อระบบลอจิสติกส์จากกรุงเทพฯ และทั่วทุกภาคของประเทศเข้าสู่ EEC

“แม้ ร.ฟ.ท.จะมีหนี้สินกว่าแสนล้านบาท แต่ยังน้อยเมื่อเทียบกับศักยภาพของสินทรัพย์ แม้จะโอนที่ให้คลัง เพื่อล้างหนี้ แต่ถ้าไม่หารายได้เพิ่มต่อไปหนี้จะกลับมาอีก จึงต้องแก้แบบยั่งยืน ซึ่งทรัพย์สินรถไฟมีจำนวนมาก ที่ดินแปลงใหญ่ เช่น บางซื่อ กม.11, สถานีแม่น้ำ อยู่ในขั้นตอนการนำเสนอคณะกรรมการ PPP แล้ว ส่วนที่ดินมักกะสัน มติ คนร.เดิมต้องการโอนให้กระทรวงการคลังเพื่อล้างหนี้กว่า 6 หมื่นล้าน ล่าสุด ร.ฟ.ท.มีแนวคิดจะบริหารจัดการเอง เชื่อว่าน่าจะได้ข้อสรุปโดยเร็ว ส่วนที่มีสัญญาผู้เช่าเดิมต้องยอมรับว่า ค่าเช่าต่ำเกินไป ดังนั้นต้องปรับปรุงแบบค่อยเป็นค่อยไปไม่ให้มีผลกระทบต่อผู้เช่าเดิม ค่าเช่าจะต้องเป็นไปตามอัตราตลาด และหากสามารถตั้งบริษัทพัฒนาสินทรัพย์ได้ภายใน 3 เดือน เชื่อว่าจะเริ่มเห็นผลตั้งแต่ปี 2560 นี้ และเป้าหมายแรกจะต้องแก้หนี้ 6 หมื่นล้านให้ได้ก่อน จากรายได้ที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละหมื่นล้านนี้” นายพิชิตกล่าว