ผู้จัดการรายวัน 360 - “ไอพี เพย์เมนท์ โซลูชั่น” พัฒนาระบบ e-Wallet เชื่อมโยงชอปปิ้งออนไลน์ เปิดบริการแอปพลิเคชัน “payforU” ให้ดาวน์โหลดฟรีผ่านทั้งระบบแอนดรอยด์และไอโอเอส ตั้งเป้าเพิ่มยอดสมาชิก 50% จากฐานปัจจุบัน 1.5 ล้านราย เผยปี 60 ขยายบริการใหม่ๆ ด้าน QR Pay หวังทำรายได้เข้าเป้า 200 ล้านบาท
ดร.กนกวรรณ ว่องวัฒนะสิน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไอพี เพย์เมนท์ โซลูชั่น จำกัด (IPPS) เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจผู้ให้บริการการชำระเงินทางอินเทอร์เน็ตจากคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ เมื่อปี 2554 ได้มีการศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภคในการจับจ่ายใช้สอยมาอย่างต่อเนื่อง
กระทั่งปี 2558 จึงได้ทดลองเปิดให้บริการระบบกระเป๋าสตางค์ (e-Wallet) อย่างไม่เป็นทางการ ภายใต้แบรนด์ “payforU” (เพย์ฟอร์ยู) ทำให้มีฐานข้อมูล ตลอดจนรับรู้และเข้าใจในความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่มีประมาณ 1.5 ล้านกระเป๋าสตางค์ในปัจจุบันที่ใช้บริการชำระค่าสาธารณูปโภคต่างๆ เติมเงินโทรศัพท์มือถือ เล่มเกมออนไลน์ และอื่นๆ
ล่าสุดบริษัทฯ จึงเปิดตัวแอปพลิเคชัน payforU อย่างเป็นทางการ พร้อมเปิดให้ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดได้ฟรีผ่านสมาร์ทโฟนทั้งระบบแอนดรอยด์และไอโอเอส โดยเน้นนวัตกรรมที่มีความแตกต่างมากกว่าการให้บริการ e-Wallet ทั่วไป คือ ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าและบริการผ่านระบบ QR Pay ได้ด้วย โดยคาดว่าจะมีผู้สนใจดาวน์โหลดแอปพลิเคชันเพิ่มขึ้นประมาณ 50% ต่อปี หรือมีฐานสมาชิกอย่างน้อย 2.2-2.3 ล้านคนในสิ้นปี 2560
ดร.กนกวรรณกล่าวอีกว่า บริษัทฯ มีเป้าหมายพัฒนา payforU ให้เป็น Digital Life and Business Platform ที่สมบูรณ์แบบและเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในการใช้ชีวิตของผู้บริโภคในปัจจุบันที่มีการใช้เทคโนโลยีเพิ่มมากขึ้น สอดรับกับนโยบายประเทศไทย 4.0 ปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจไปสู่ “Value-Based Economy” หรือเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม
โดยผู้ใช้บริการ payforU จะสามารถเชื่อมโยงการบริการทุกๆ ด้าน ทั้งในลักษณะ B2B และ B2C ให้เป็นแพลตฟอร์มใหม่ คือ B2BC ซึ่งถือเป็นการสร้างธุรกิจเพื่อเป็นโอกาสให้กับธุรกิจทุกขนาดทั้งในระดับมหาชนจนถึงระดับประชาชน ไม่ว่าจะเป็นโอกาสในการสร้างสรรค์ธุรกิจใหม่ การขยายต่อยอดธุรกิจ ตลอดจนโอกาสในการสร้างนวัตกรรมทางธุรกิจใหม่ๆ เพื่อรองรับการกำเนิดธุรกิจรูปแบบใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
แอปพลิเคชัน payforU ยังมีความโดดเด่นในเรื่องความเป็น (Unique Online Plaza) ซึ่งจะเน้นสินค้าลิมิเต็ด เอดิชัน สินค้าที่มีเฉพาะฤดูกาล รวมถึงสินค้าพิเศษอื่นๆ ที่สามารถซื้อได้ผ่านช่องทาง payforU เท่านั้น โดยเน้นสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวัน, สินค้าหมวดไลฟ์สไตล์, เทรนดี้, อุปกรณ์ไอที, แก็ดเจ็ต, สินค้าเพื่อการเกษตร รวมถึงบริการพิเศษ เช่น การจองตั๋วเครื่องบินของสายการบินต่างๆ ทั่วโลก โดยบริษัทฯ จะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากผู้ประกอบการประมาณ 3-10% จากมูลค่าการซื้อขาย
“การเปิดบริการครั้งนี้ใช้งบประมาณการตลาดประมาณ 20 ล้านบาทเพื่อสร้างการรับรู้สู่ผู้ใช้บริการ เน้นสื่อออนไลน์เป็นหลักประมาณ 80% ส่วนที่เหลือ 20% เป็นการผสมผสานระหว่างสื่อนอกบ้าน สื่อทรานซิต รวมถึงการจัดกิจกรรมการตลาดในรูปแบบต่างๆ โดยในปี 2560 ยังมีแผนขยายบริการรูปแบบใหม่ๆ ผ่านเทคโนโลยี QR Pay เพิ่มขึ้นอีกเพื่อให้สามารถทำรายได้เป็นไปตามเป้าหมาย 200 ล้านบาท” ดร.กนกวรรณกล่าว
จากการเติบโตของตลาดชอปปิ้งออนไลน์ในประเทศไทยที่มีมูลค่าประมาณ 2 ล้านล้านบาท ทั้งยังมีอัตราการเติบโตประมาณ 15% ต่อปี ในขณะที่มีความพร้อมด้านเทคโนโลยี 4G จึงทำให้คาดว่าในปี 2560 อาจมีบางธุรกิจต้องล้มหายไปหากไม่มีการปรับตัวเพื่อรับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว โดยเฉพาะในเรื่องของ IoT และชอปปิ้งออนไลน์ที่สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาในทุกสถานที่
ดร.กนกวรรณ ว่องวัฒนะสิน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไอพี เพย์เมนท์ โซลูชั่น จำกัด (IPPS) เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจผู้ให้บริการการชำระเงินทางอินเทอร์เน็ตจากคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ เมื่อปี 2554 ได้มีการศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภคในการจับจ่ายใช้สอยมาอย่างต่อเนื่อง
กระทั่งปี 2558 จึงได้ทดลองเปิดให้บริการระบบกระเป๋าสตางค์ (e-Wallet) อย่างไม่เป็นทางการ ภายใต้แบรนด์ “payforU” (เพย์ฟอร์ยู) ทำให้มีฐานข้อมูล ตลอดจนรับรู้และเข้าใจในความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่มีประมาณ 1.5 ล้านกระเป๋าสตางค์ในปัจจุบันที่ใช้บริการชำระค่าสาธารณูปโภคต่างๆ เติมเงินโทรศัพท์มือถือ เล่มเกมออนไลน์ และอื่นๆ
ล่าสุดบริษัทฯ จึงเปิดตัวแอปพลิเคชัน payforU อย่างเป็นทางการ พร้อมเปิดให้ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดได้ฟรีผ่านสมาร์ทโฟนทั้งระบบแอนดรอยด์และไอโอเอส โดยเน้นนวัตกรรมที่มีความแตกต่างมากกว่าการให้บริการ e-Wallet ทั่วไป คือ ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าและบริการผ่านระบบ QR Pay ได้ด้วย โดยคาดว่าจะมีผู้สนใจดาวน์โหลดแอปพลิเคชันเพิ่มขึ้นประมาณ 50% ต่อปี หรือมีฐานสมาชิกอย่างน้อย 2.2-2.3 ล้านคนในสิ้นปี 2560
ดร.กนกวรรณกล่าวอีกว่า บริษัทฯ มีเป้าหมายพัฒนา payforU ให้เป็น Digital Life and Business Platform ที่สมบูรณ์แบบและเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในการใช้ชีวิตของผู้บริโภคในปัจจุบันที่มีการใช้เทคโนโลยีเพิ่มมากขึ้น สอดรับกับนโยบายประเทศไทย 4.0 ปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจไปสู่ “Value-Based Economy” หรือเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม
โดยผู้ใช้บริการ payforU จะสามารถเชื่อมโยงการบริการทุกๆ ด้าน ทั้งในลักษณะ B2B และ B2C ให้เป็นแพลตฟอร์มใหม่ คือ B2BC ซึ่งถือเป็นการสร้างธุรกิจเพื่อเป็นโอกาสให้กับธุรกิจทุกขนาดทั้งในระดับมหาชนจนถึงระดับประชาชน ไม่ว่าจะเป็นโอกาสในการสร้างสรรค์ธุรกิจใหม่ การขยายต่อยอดธุรกิจ ตลอดจนโอกาสในการสร้างนวัตกรรมทางธุรกิจใหม่ๆ เพื่อรองรับการกำเนิดธุรกิจรูปแบบใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
แอปพลิเคชัน payforU ยังมีความโดดเด่นในเรื่องความเป็น (Unique Online Plaza) ซึ่งจะเน้นสินค้าลิมิเต็ด เอดิชัน สินค้าที่มีเฉพาะฤดูกาล รวมถึงสินค้าพิเศษอื่นๆ ที่สามารถซื้อได้ผ่านช่องทาง payforU เท่านั้น โดยเน้นสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวัน, สินค้าหมวดไลฟ์สไตล์, เทรนดี้, อุปกรณ์ไอที, แก็ดเจ็ต, สินค้าเพื่อการเกษตร รวมถึงบริการพิเศษ เช่น การจองตั๋วเครื่องบินของสายการบินต่างๆ ทั่วโลก โดยบริษัทฯ จะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากผู้ประกอบการประมาณ 3-10% จากมูลค่าการซื้อขาย
“การเปิดบริการครั้งนี้ใช้งบประมาณการตลาดประมาณ 20 ล้านบาทเพื่อสร้างการรับรู้สู่ผู้ใช้บริการ เน้นสื่อออนไลน์เป็นหลักประมาณ 80% ส่วนที่เหลือ 20% เป็นการผสมผสานระหว่างสื่อนอกบ้าน สื่อทรานซิต รวมถึงการจัดกิจกรรมการตลาดในรูปแบบต่างๆ โดยในปี 2560 ยังมีแผนขยายบริการรูปแบบใหม่ๆ ผ่านเทคโนโลยี QR Pay เพิ่มขึ้นอีกเพื่อให้สามารถทำรายได้เป็นไปตามเป้าหมาย 200 ล้านบาท” ดร.กนกวรรณกล่าว
จากการเติบโตของตลาดชอปปิ้งออนไลน์ในประเทศไทยที่มีมูลค่าประมาณ 2 ล้านล้านบาท ทั้งยังมีอัตราการเติบโตประมาณ 15% ต่อปี ในขณะที่มีความพร้อมด้านเทคโนโลยี 4G จึงทำให้คาดว่าในปี 2560 อาจมีบางธุรกิจต้องล้มหายไปหากไม่มีการปรับตัวเพื่อรับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว โดยเฉพาะในเรื่องของ IoT และชอปปิ้งออนไลน์ที่สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาในทุกสถานที่