กลุ่ม BSR พร้อมลุยสัมปทาน โมโนเรล"ชมพู-เหลือง" ทุ่มแสนล. "คีรี"ลั่นมีพันธมิตรแข็งแกร่ง " ซิโน-ไทยและราชบุรีโฮลดิ้ง" มั่นใจ เชื่อมโครงข่าย "เขียว-ชมพู-เหลือง"ต่อยอดธุรกิจในเครือคุ้มค่าลงทุน แนวเส้นทางประชากรหนาแน่น มีศักยภาพใช้บริการรถไฟฟ้า คาดเปิดเดินรถผู้โดยสารทั้ง 3 สาย แตะ1.7 ล้านคน-2 ล้านคน/วัน เผยยื่นข้อเสนอต่อขยายชมพูเข้าเมืองทอง ส่วนสีเหลืองเชื่อมเขียวที่รัชโยธิน ช่วยเพิ่มผู้โดยสารอีก
นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน)พร้อมด้วย นายภาคภูมิ ศรีชำนิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) และนายรัมย์ เหราบัตย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ผู้ร่วมทุนในกิจการร่วมค้าบีเอสอาร์ (BSR Joint Venture) ซึ่งผ่านการประเมินสูงสุด จากการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ในการเป็นผู้รับสัมปทานการลงทุนออกแบบและก่อสร้างงานโยธาการจัดหาระบบรถไฟฟ้า การให้บริการเดินรถไฟฟ้าและซ่อมบำรุงรักษา โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย - มีนบุรี ระยะทาง 34.5 กม.มีมูลค่าลงทุนรวม 53,490 ล้านบาท และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว - สำโรงระยะทาง 30.4 กม. มูลค่าลงทุนรวม 51,810 ล้านบาท
นายคีรีกล่าวว่า บีทีเอสมีประสบการณ์ กว่า 17 ปีมีความพร้อมทางการเงิน มีพันธมิตรที่แข็งแกร่ง การร่วมประมูลสีชมพูและเหลือง เพราะเห็นว่ามีความเป็นไปได้ในการลงทุนโดยเอกชน และการร่วมทุนกับ ซิโน-ไทยฯ และราชบุรีโฮลดิ้ง จะยิ่งทำให้งานสำเร็จตามเป้าหมาย แม้ว่าเงื่อนไขในTOR จะค่อนข้างเข้มงวด ลงทุนไม่ง่าย แต่เมื่อสายสีเขียวต่อขยาย สีชมพู สีเหลือง เปิด เส้นทางของ 3 สายจะมีระยะทางถึง 146 กม. ส่วนขบวนรถจะมีกว่า 300 ตู้ และมีสถานีเพิ่มอีก 53 สถานี ซึ่งจะสนับสนุนธุรกิจ4 หมวด ในเครือ ซึ่งนอกจากรถไฟฟ้า ยังมีด้านอสังหาริมทรัพย์ อาคาร 200 แห่ง โรงแรม200 แห่ง ด้านมีเดียจะมีพื้นที่สื่อโฆษณาบนตัวรถเพิ่มอีก 3-4- เท่า เชื่อว่า ตัวเลขเมื่อรวมธุรกิจทั้งหมดเชื่อว่าคุ้มในการลงทุน
นอกจากนี้ จากการศึกษาตลอดแนวเส้นทางของ2 สาย มีประชากรหนาแน่น ประมาณ 2.98 ล้านคน และเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพที่จะใช้บริการรถไฟฟ้าได้ ประกอบกับการเชื่อมต่อกับสายสีเขียว ซึ่งเป็นสายหลักที่เข้าใจกลางเมืองและมีจุดหมายปลายทาง ซึ่งเมื่อโครงข่ายสีเขียวต่อขยายเสร็จ ต่อเชื่อมกับสีชมพูและสีเหลือง คาดการณ์ผู้โดยสารในปีที่เปิดให้ห้บริการ ของโครงข่ายทั้ง 3 สาย จะอยู่ที่ประมาณ 1.7 ล้านคน-2 ล้านคน/วัน
โดยสายสีชมพูนั้น จะก่อสร้างไปบนถนนที่มีการจราจรหนาแน่น และ จะมีการเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้า 4 สาย คือ ที่สถานีศูนย์ราชการนนทบุรี เชื่อมกับสายสีม่วง (คลองบางไผ่-เตาปูน)-สถานีหลักสี่ เชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีแดง (บางซื่อ-รังสิต) สถานีวัดพระศรีมหาธาตุ เชื่อมกับสายสีเขียว (หมอชิต-คูคต) สถานีมีนบุรี เชื่อมกับรถไฟฟ้าสายสีส้ม(ตะวันออก) โดยกลุ่มไ้ด้เสนอต่อขยายเส้นทางเข้าไปยังเมืองทองธานี ระยะทาง 2.8 กม. (2 สถานี) เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่น มีศูนย์ประชุม ศูนย์แสดงสินค้า ผู้เข้างาน 15 ล้านคน/ปี ที่อยู่อาศัย 80,000-100,000 คน สนามฟุตบอล SCG เมืองทอง มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชและมหาวิทยาลัยศิลปากร ภาพรวมมีผู้อาศัย150,000-180,000 คน เทียบเท่าเทศบาลโคราช มีรถไฟฟ้าเข้าไปจะช่วยลดปัญหาจราจรได้มาก
สายสีเหลือง มีจุดเชื่อมต่อ 3 จุด โดยเริ่มจากลาดพร้าว ทางกลุ่มฯได้เสนอต่อขยายระยะทาง 2.6 กม. จากสถานีรัชดาภิเษก เพื่อเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีเขียว ที่สี่แยกรัชโยธิน เพื่อแก้ปัญหาจราจรที่ถนนลาดพร้าว ส่วนที่สี่แยกลำสาลีจะเชื่อมกับสายสีส้ม (ตะวันนออก) ,ต่างระดับพระราม 9 จะเชื่อมกับรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงก์ และสุดทาง จะเชื่อมกับสายสีเขียวที่ สำโรง และเพื่อความสะดวกยังเสนอใช้บัตรโดยสารใบเดียวทั้งประเภท เที่ยวเดียว เติมเงิน (แรบบิท และแมงมุม) เดินทางไ้ด้ทั้ง3 ระบบ โดยไม่ต้องแตะบัตรออกจากระบบ เข้าและออกครั้งเดียว จนกว่าจะถึงปลายทาง
นายคีรีกล่าวว่า สัดส่วนหุ้นของ BSR Joint Venture มีบีทีเอส 75% ,ซิโน-ไทยฯ 15% และราชบุรีโฮลดิ้ง 10% ด้านการเงิน บีทีเอสได้เตรียมพร้อมแล้ว โดย TOR กำหนดทุนจดทะเบียน โครงการละ 14,000 ล้านบาท รวม 28,000 ล้านบาท โดยเมื่อลงนามสัญญา ต้องชำระก้อนแรกโครงการละ 3,500 ล้านบาท และชำระเต็ม เมื่อเปิดเดินรถ ซึ่งจากประสบการณ์ทำให้รู้ว่า อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ การที่เอกชนลงทุน 100% รัฐต้องอุดหนุนบางส่วน เพื่อให้เกิดความเป็นไปได้ในการลงทุนของเอกชนและแบ่งเบาภาระภาครัฐ เพื่อแก้ปัญหาจราจร
นายภาคภูมิ ศรีชำนิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซิโน-ไทย กล่าวว่า บริษัทรับหน้าที่ 2 ส่วนคือ ก่อสร้างงานโยธาโดยเมื่อได้ข้อสรุป รฟม.จะต้องส่งมอบพื้นที่ เพื่อให้บริษัททำการรื้อย้ายสาธารณูปโภค จากนั้นจะก่อสร้างฐานราก เสา และคานรองรับ เพื่อให้บีทีเอสเข้าติดตั้งงานระบบต่อไป งานโครงสร้างระบบโมโนเรลไม่ซับซ้อนทก่อสร้างบนเกาะกลางถนน ขณะที่มีแรงงานประมาณ 10,000 คน เครื่องมือเครื่องจักรพร้อม รวมถึงมีโรงหล่อคอนกรีตสำเร็จรูป และเริ่มล็อควัสดุก่อสร้างแล้ว ดังนั้น เวลาก่อสร้าง 3 ปีจึงไม่มีปัญหา
โดยภาพรวม บริษัทมีงานที่รอลงนามสัญญาในปี2560 ประมาณ 6 หมื่นล้านบาท เช่น โมโนเรลชมพู,เหลือง สายสีส้ม,งานกรมทางหลวงประมาณ 5-6 พันล. ,รถไฟทางคู่ อย่างน้อย นทาง ประมาณ 2 หมื่นล. งานภาครัฐในงบประจำปีอีก 1 หมื่นล.
ด้านนายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ กล่าวว่า ในวันที่ 19 ธ.ค.นี้ รฟม.นัดเจรจากับกลุ่ม เพื่อเจรจาต่อรองในข้อเสนอซองที่ 2 (ข้อเสนอด้านการลงทุนและผลตอบแทน) ซึ่งจะมีข้อเสนอซองที่ 3 การเสนอต่อขยายเส้นทางเชื่อมเข้าเมืองทองธานีและต่อเชื่อมกับสีเขียวด้วย ส่วนระบบรถโมโนเรลนั้น บริษัทได้เสนอไว้ 3 ยี่ห้อ คือ ฉงชิ่ง ,บอมบาดิเอร์,สโคมี่ ซึ่งหลังลงนามสัญญา 30 วัน จะสรุปว่าเลือกยี่ห้อไหน ขณะที่รฟม.จะต้องส่งมอบพื้นที่ก่อสร้าง อย่างไรก็ตาม จากการลงพื้นที่สำรวจรายสถานีและพื้นที่โดยรอบ ประเมิน ผู้โดยสารสีชมพู และเหลืองจะมีประมาณสายละ1.8- 2 แสนคน/วัน ขณะที่ปัจจุบัน บีทีเอสมีผู้โดยสารเฉลี่ย 7 แสนคน/วัน
***ขอดูเงื่อนไขไฮสปีด ก่อนตัดสินใจร่วมประมูล ชี้เป็นโครงการใหญ่
นายคีรีกล่าวถึง โครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง (ไฮสปีดเทรน) ว่า การจะเข้าลงทุนหรือร่วมทุนด้วยนั้น คงต้องขอดูรายละเอียดจากทางรัฐบาลก่อนว่ารูปแบบรายละเอียดโครงการเป็นอย่างไร รัฐบาลจะมีความช่วยเหลือในส่วนใดบ้างเนื่องจากเป็นการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ ส่วนโครงการรถไฟฟ้าในกรุงเทพนั้น หากเป็นโครงการของกรุงเทพมหานคร (กทม.) หรือ โครงการของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลแห่งประเทศไทย (รฟม.) ที่มีการเปิดประมูลบริษัทมีความสนใจที่จะเข้าร่วมดำเนินการทั้งสิ้น เพราะรถไฟฟ้าเป็นธุรกิจหลักของบริษัท