xs
xsm
sm
md
lg

BTS เพิ่มงบกว้านซื้อที่ดิน 2 หมื่นล. ลุยพัฒนาโครงการอสังหาฯ ร่วมแสนสิริ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


BTS ประกาศเดินหน้าลงทุนอสังหาฯ ต่อเนื่อง ทั้งเพื่อขาย และให้เช่า หลังประมูลรถไฟฟ้าได้ 2 สาย พร้อมอัดงบซื้อที่ดินเพิ่มอีก 2 หมื่นล้าน เตรียมพัฒนาร่วมกับแสนสิริ เผยปี 60 ตั้งเป้าเปิด 5 โครงการใหม่ เผยสนใจลงทุนโครงการแนวราบ

นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (BTS) กล่าวว่า แผนการลงทุนพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ทั้งเพื่อขาย และให้เช่าอย่างต่อเนื่อง โดยการลงทุนโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่า หรือโรงแรม อาคารสำนักงาน เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ และรีเทล จะเป็นการลงทุนผ่านบริษัท ยู ซิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือบริษัทแนเชอรัล พาร์ค จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็นพาร์ค เดิม โดยจะพัฒนาโครงการที่พญาไท บนเนื้อที่ 7 ไร่ เป็นโครงการมิกซ์ยูส ประกอบด้วย อาคารสำนักงานให้เช่า โรงแรม และเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ และโครงการอาคารสำนักงานในย่านหมอชิต ด้านหลังโครงการ เดอะไลน์ จตุจักร-หมอชิต พื้นที่ 140,000 ตร.ม. มูลค่าประมาณ 8,000-9,000 ล้านบาท ส่วนโครวงการแอ็บสแตร็กส์ พหลโยธิน ซึ่งเหลือการพัฒนาอีก 2 โครงการ อยู่ระหว่างพิจารณาว่า จะพัฒนาเอง หรือให้บริษัทร่วมทุน

สำหรับการร่วมทุนระหว่าง BTS และบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI ภายใต้บริษัทบีทีเอส-แสนสิริ จำกัด บริษัทได้ปรับเพิ่มงบซื้อที่ดินในช่วง 5 ปี (ปี 58-62) เป็น 30,000 ล้านบาท จากเดิมที่ตั้งไว้เพียง 10,000 ล้านบาท เพื่อเพิ่มจำนวนที่ดินรองรับการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทร่วมทุน หลังจากมีการลงทุนขยายโครงข่ายรถไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องของภาครัฐ รวมถึงการที่ BTS ชนะประมูล และได้รับสัมปทานเดินรถโครงการรถไฟฟ้า 2 สาย ได้แก่ สายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) และสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) ซึ่งเป็นโอกาสที่ทำให้บริษัทร่วมทุนมีโอกาสพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ตามแนวรถไฟฟ้าที่บีทีเอส ได้สัมปทาน ซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของบริษัทร่วมทุนที่ต้องการพัฒนาโครงการใกล้สถานรถไฟฟ้าบีทีเอส ในระยะไม่เกิน 500 เมตร

ทั้งนี้ การลงทุนซื้อที่ดินเพิ่มขึ้นดังกล่าวจะทำให้การพัฒนาโครงการร่วมทุนทำได้มากกว่าที่ตั้งไว้ 25 โครงการ ภายใน 5 ปี และมูลค่าโครงการรวม คาดว่าจะมากกว่า 1 แสนล้านบาท หลังปัจจุบัน บริษัทร่วมทุนได้เปิดโครงการแล้วทั้งหมด 8 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 30,000 ล้านบาท ได้แก่ โครงการเดอะไลน์ จตุจักร-หมอชิต มูลค่าโครงการ 6,000 ล้านบาท, โครงการเดอะไลน์ สุขุมวิท 71 มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท, โครงการเดอะไลน์ ราชเทวี มูลค่าโครงการ 2,900 ล้านบาท, โครงการเดอะไลน์ อโศก-รัชดา มูลค่าโครงการ 2,900 ล้านบาท

โครงการเดอะไลน์ สุขุมวิท 101 มูลค่าโครงการ 4,200 ล้านบาท, โครงการเดอะไลน์ พหลฯ-ประดิทพัทธ์ มูลค่าโครงการ 5,800 ล้านบาท, โครงการเดอะเบส การ์เด้น พระราม 9 มูลค่าโครงการ 2,280 ล้านบาท และโครงการคุณ บาย ยู อินสไปร์ บาย สตาร์ค มูลค่าโครงการ 4,000 ล้านบาท

“ผมอยากเก็บแลนด์แบงก์ให้มากขึ้น เพื่อรองรับการพัฒนาโครงการในอนาคตของบริษัทร่วมทุนกับแสนสิริ ซึ่งหลังจากที่บีทีเอส ชนะประมูลรถไฟฟ้าสายใหม่อีก 2 สาย ทำให้เรามีระยะทางการเดินรถเพิ่มขึ้นอีก 65 กิโลเมตร จึงทำให้ตัดสินใจเพิ่มงบซื้อที่ดินเป็น 3 หมื่นล้านบาท จากเดิม 1 หมื่นล้านบาท ในช่วง 5 ปี นอกจากนี้ ในอนาคตก็จะยังมีโอกาสทำโครงการแนวราบ หรือดึงแสนสิริ เข้าไปร่วมทุนในที่ดินที่บริษัทเป็นเจ้าของ”นายคีรี กล่าว

นอกจากนี้ บริษัทยังได้ร่วมพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสกับ บมจ.แกรนด์ คาแนล แลนด์ (GLAND) บนพื้นที่กว่า 48 ไร่ย่านพหลโยธิน ซึ่งมีแผนจะพัฒนาเป็นศูนย์ค้าปลีก คอนโดมิเนียม โรงแรม และเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ คาดจะมีความชัดเจนในต้นเดือน ก.พ.60 โดยในส่วนของศูนย์ค้าปลีกได้เจรจากับผู้ประกอบการค้าปลีกรายใหญ่ในประเทศ 1 ราย เพื่อให้มาเช่าพื้นที่ของโครงการ ส่วนที่อยู่อาศัยอาจจะแบ่งขายที่ดินให้กับบริษัทร่วมทุน BTS-SIRI เพื่อนำไปพัฒนา โดยปัจจุบัน มูลค่าที่ดินในพื้นที่ดังกล่าวอยู่ที่ 1 ล้านบาท/ตารางวา

บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษารูปแบบของการพัฒนาที่ดินเปล่าในโครงการธนาซิตี้ ย่านบางนา จำนวน 400 ไร่ ซึ่งปัจจุบันรอความชัดเจนการพัฒนาโครงการรถไฟฟ้าโมโนเรลที่เข้าถึงโครงการดังกล่าว เพราะการมีรถไฟฟ้าผ่าน ทำให้การพัฒนาโครงการในธนาซิตี้ มีโอกาสได้รับความสนใจของผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในย่านนั้น และเกิดความคุ้มค่าในการลงทุนของบริษัท

สำหรับรายได้ของบริษัทในงวดปีบัญชี 63/64 (สิ้นสุด 31 มี.ค.64) คาดว่าจะมากกว่า 2 หมื่นล้านบาท จากปี 59/60 (สิ้นสุด 31 มี.ค.60) อยู่ที่ 1 หมื่นล้านบาท หลังจากรถไฟฟ้าสายสีชมพู และสายสีเหลือง เปิดให้บริการแล้ว ทำให้บริษัทมีระยะทางของรถไฟฟ้าทั้ง 3 สาย ได้แก่ สายสีเขียว สายสีชมพู และสายสีเหลือง รวม 139.2 กิโลเมตร จากปัจจุบันราว 60 กิโลเมตร และคาดว่าจะมีจำนวนผู้โดยสารที่ใช้บริการเพิ่มเป็น 1.7-2 ล้านคน/วัน จากปัจจุบันมีจำนวนผู้โดยสารใช้บริการอยู่ที่ 8 แสนคน/วัน ซึ่งเป็นปัจจัยที่สนับสนุนรายได้ของบริษัทให้เพิ่มขึ้นตามเป้าหมาย

ทั้งนี้ บริษัทคาดว่า การเจรจากับการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) สำหรับสิทธิลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู และสายสีเหลือง คาดว่าจะได้ข้อสรุปในอีก 2 เดือน และหลังจากได้ข้อสรุปแล้ว บริษัทจะเริ่มทำแผนการกำหนดขอบเขตของงานต่อไป โดยมีมูลค่าลงทุนรวมกว่า 1 แสนล้านบาท ภายใต้กิจการร่วมค้า BSR ได้แก่ BTS, บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) (RATCH) และบริษัทซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ (STEC).


กำลังโหลดความคิดเห็น