“พาณิชย์”ชงกฎหมายการจัดตั้งบริษัทจำกัดคนเดียวเข้าสู่การพิจารณาของ ครม. อีกรอบ หวังดึง SMEs 2.74 ล้านรายเข้าสู่ระบบ เพื่อให้มีตัวตน สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนและความช่วยเหลือจากรัฐได้ง่าย ยันไม่ได้ปิดกั้นคนต่างชาติ เหตุสามารถเข้ามาทำธุรกิจในไทยผ่านการขออนุญาตจากกฎหมายคนต่างด้าวและขอผ่านบีโอไอได้อยู่แล้ว
น.ส.บรรจงจิตต์ อังศุสิงห์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยถึงความคืบหน้าการผลักดันร่างพ.ร.บ.การจัดตั้งบริษัทจำกัดคนเดียว พ.ศ. ... ว่า ขณะนี้กรมฯ ได้ส่งร่างกฎหมายเพื่อนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้ว หลังจากที่ได้ถอนนำกลับมาปรับปรุงใหม่ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เมื่อการประชุมครม.วันที่ 17 ส.ค.2559 ที่ผ่านมา โดยยืนยันที่จะผลักดันให้มีกฎหมายฉบับนี้ เพื่อผลักดันให้ผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก (SMEs) ที่มีอยู่ในระบบ 2.74 ล้านรายเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้ง่ายขึ้น
“ได้เสนอร่างกฎหมายให้นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาก่อนเสนอเข้า ครม. แล้ว ซึ่งผลดีของกฎหมายฉบับนี้ จะทำให้การจัดตั้งธุรกิจทำได้ง่ายขึ้น เพียงแค่คนเดียวก็สามารถตั้งบริษัทได้ ทำให้ SMEs มีตัวตน และเมื่อมีตัวตน มีฐานข้อมูล ก็จะทำให้การเข้าถึงแหล่งเงินทุน และการเข้าถึงความช่วยเหลือจากภาครัฐทำได้ง่ายขึ้น”
สำหรับข้อกังวลว่ากฎหมายฉบับนี้จะเป็นการกีดกันคนต่างชาติไม่ให้เข้ามาจดตั้งธุรกิจในประเทศไทยนั้น ขอยืนยันว่า กฎหมายฉบับนี้ไม่ได้มีการกีดกันคนต่างชาติแต่อย่างใด เพราะแม้กฎหมายแม้จะให้สิทธิ์คนไทยที่สามารถจดตั้งนิติบุคคลคนเดียว แต่ก็ไม่ได้ปิดกั้นคนต่างชาติ โดยคนต่างชาติที่ประสงค์ที่จะเข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย ยังสามารถใช้ช่องทางการขออนุญาตผ่านพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ที่เปิดช่องไว้ให้ หรือใช้ช่องทางการเข้ามาลงทุนผ่านการส่งเสริมการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ได้
รายงานข่าวแจ้งว่า การจัดตั้งบริษัทจำกัดคนเดียว มีประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจของไทย โดยจะช่วยให้ผู้ประกอบธุรกิจที่ประสงค์จะดำเนินธุรกิจด้วยตนเอง ได้มีโอกาสจัดตั้งธุรกิจ ลดปัญหาความขัดแย้งทางธุรกิจ ลดต้นทุนการจ้างพนักงานบัญชี โดยสามารถจ้างผู้ตรวจสอบบัญชีมืออาชีพข้างนอกที่ได้รับการรับรองจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้ และยังสะดวกในการบริหารจัดการ สามารถจดเลิกง่าย และหากเลิกแล้ว ก็สามารถทำธุรกิจเกิดใหม่ได้ เพราะการมีกรรมการหลายคน หากมีปัญหาขัดแย้งกันจะมีการฟ้องร้องใช้เวลานานที่จะเริ่มธุรกิจได้ใหม่ รวมทั้งยังทำให้กฎหมายจัดตั้งธุรกิจของไทยพัฒนาได้ทันต่อสถานการณ์ของโลกที่มีแนวโน้มการใช้กฎหมายในรูปแบบนี้อย่างกว้างขวาง
โดยประเทศที่พัฒนาแล้ว ส่วนใหญ่จะมีกฎหมายที่จะดูแลธุรกิจรูปแบบต่างๆ ซึ่งจะกำหนดมาตรฐานแตกต่างกัน และในขณะนี้ ในต่างประเทศที่มีกฎหมายจัดตั้งนิติบุคคลโดยบุคคลคนเดียวแล้ว 12 ประเทศ เช่น อังกฤษ, สหรัฐฯ , ญี่ปุ่น, สิงคโปร์, อินเดีย, นิวซีแลนด์ แคนาดา เนเธอร์แลนด์ และในอาเซียน คือ เวียดนาม และสิงคโปร์ ส่วนมาเลเซียกำลังศึกษาอยู่