“ทาทาสตีล” ชี้แนวโน้มราคาเหล็กทรงตัวในระดับสูงไปถึงต้นปี 60 หลังราคาแร่เหล็กและถ่านโค้กดีดตัว ยันปีนี้มีกำไรก่อน หักดอกเบี้ยค่าเสื่อมและภาษีพุ่งแตะ 1.6-1.8 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นเท่าตัวจากปีก่อน ลุ้น ก.พาณิชย์ปรับขึ้นภาษี AD เหล็กลวดจีน
นายราจีฟ มังกัล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทาทา สตีล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (TSTH) เปิดเผยว่า แนวโน้มราคาเหล็กเส้นจะทรงตัวอยู่ในระดับสูงเช่นนี้ต่อเนื่องไปจนถึง มี.ค.ปี 2560 ที่ระดับราคาตันละ 1.6 หมื่นบาท เพิ่มขึ้นจากช่วง ก.ค.-ก.ย. 2559 ที่มีราคาเฉลี่ย 1.47 หมื่นบาท/ตัน เนื่องจากราคาวัตถุดิบทั้งแร่เหล็กและถ่านโค้กได้ขยับเพิ่มสูงขึ้น โดยบริษัทฯ ไม่ได้ผลกระทบจากราคาแร่เหล็กที่เพิ่มขึ้น เพราะวัตถุดิบที่ใช้คือเศษเหล็กที่มีการปรับตัวขึ้นไม่มาก ทำให้มั่นใจว่าผลการดำเนินงานของบริษัทในงวดครึ่งปีหลังนี้ (ต.ค. 59 - มี.ค. 60) จะดีกว่างวด 6 เดือนแรกที่ผ่านมา
บริษัทฯ คาดผลดำเนินงานงวดปี 2559/2560 (เม.ย. 59 - มี.ค. 60) จะมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ค่าเสื่อมและภาษี (EBITDA) ราว 1.6-1.8 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มี EBITDA 845 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น 10% มาอยู่ที่ 1.22-1.25 ล้านตัน/ปี บริษัทควบคุมต้นทุนการผลิตให้ต่ำลง จัดหาเศษเหล็กในราคาที่ต่ำ และราคาเหล็กมีการปรับตัวสูงขึ้นทั้งเหล็กเส้นก่อสร้างและเหล็กลวด
นายราจีฟกล่าวถึงความคืบหน้าการขายเครื่องจักรโครงการเตาถลุง Mino Blast Furnace (MBF) ของบริษัท เอ็น.ที.เอส.สตีลกรุ๊ป บริษัทย่อยว่า ขณะนี้มีผู้ที่สนใจซื้อจำนวน 5 ราย แต่ยังไม่มีข้อสรุป หากสามารถขายได้มากกกว่ามูลค่าทางบัญชีจะทำให้บริษัทฯ มีกำไร ปัจจุบันบริษัทมีอัตราหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 0.5-0.6 เท่า โดยหนี้ระยะยาวได้มีการชำระคืนไปหมดแล้ว
ส่วนกรณีที่จีนได้ทุ่มตลาดราคาเหล็กลวดคาร์บอนต่ำและเหล็กลวดคาร์บอนสูงในไทยว่า ทางกระทรวงพาณิชย์ได้เปิดทบทวนอัตราการจัดเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด (AD ) เหล็กลวดคาร์บอนต่ำจากจีน หลังผู้นำเข้าอาศัยช่องว่างทางกฎหมายในการนำเข้ามาโดยไม่ต้องเสียภาษี ซึ่งไม่เป็นธรรมต่อผู้ประกอบการในประเทศเช่นเดียวกับเหล็กลวดคาร์บอนสูงที่ได้รับผลกระทบจากเหล็กนำเข้าจากจีนเช่นกัน คาดว่ากระทรวงพาณิชย์จะประกาศได้ในช่วง มี.ค. 2560
