ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้ ผลงานไตรมาส 3 แรงได้ใจกำไรสุทธิ 58.68 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 3.82% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ผู้บริหารมั่นใจแนวโน้มรายได้ปี 59 เติบโตไม่ต่ำกว่า 10% กำไรพุ่งกระฉูด เหตุออเดอร์ OEM ทะลัก ราคาขายต่อหน่วยพุ่ง หลังค่าเงินบาทอ่อน ขณะที่ต้นทุนต่อหน่วยลดฮวบ จากการเพิ่มกำลังการผลิต ส่วนโรงงานในอินเดีย คาดเปิดไลน์การผลิตได้ภายในต้นปี 60 ตามแผน หนุนธุรกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
นายสมพล ธนาดำรงศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ FPI เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในไตรมาส 3/59 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2559 มีรายได้รวม 473.57 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.76 ล้านบาท หรือ 4.82% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวม 451.81 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 58.68 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.82 ล้านบาท หรือ 6.96% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 54.86 ล้านบาท
ขณะที่ผลการดำเนินงานในงวด 9 เดือนแรกของปี 2559 มีรายได้รวม 1453.32 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 88.82 ล้านบาท หรือ 6.51% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวม 1,364.50 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 197.19 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 50.81 ล้านบาท หรือ 34.71% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 146.38 ล้านบาท โดยมาจากยอดขายในประเทศเพิ่มขึ้นจากการขายงาน OEM ของรถยนต์ ยี่ห้อโตโยต้า และยอดขายต่างประเทศในภูมิภาคเอเชียเพิ่มขึ้นมาจากประเทศซาอุดิอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ในภูมิภาคอเมริกาใต้ ในภูมิภาคออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ เพิ่มขึ้นจากการการขายงาน OEM ของรถยนต์ยี่ห้อ Suzuki ให้แก่ลูกค้า EGR
“สาเหตุที่ทำให้กำไรและยอดขายในไตรมาส 3/59 ปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่มากนักเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากในช่วงเดือนกรกฎาคมเป็นช่วงเดือนรอมฎอน ทำให้ยอดขายในเดือนดังกล่าวไม่สูงมาก ถึงแม้ว่าจะไดรับอานิสงส์จากงาน OEM เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดยุโรป ที่มีอัตรากำไรขั้นต้น (GP) ค่อนข้างสูง อีกทั้งยังได้รับปัจจัยบวกจากการอ่อนค่าของเงินบาทอีกด้วย เพราะรายได้ส่วนใหญ่ของบริษัทฯ อยู่ในรูปของเงินดอลลาร์ฯ เมื่อแปลงกลับมาเป็นเงินบาท จึงทำให้มีกำไรเพิ่มขึ้น นอกเหนือจากการบริหารต้นทุนค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น จากการเพิ่มอัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงงาน ซึ่งทำให้ต้นทุนต่อหน่วยลดลง” นายสมพล กล่าว
ทั้งนี้ ตั้งแต่ช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา บริษัทฯ มีการขยายกำลังผลิต เพื่อรองรับออเดอร์ของลูกค้า โดยเพิ่มเครื่องฉีด 650 ตัน 1 เครื่อง ซึ่งได้มีการเพิ่มยอดกำลังผลิตสินค้ากลุ่มหน้ากระจังอีก 4.62% ในต้นเดือนสิงหาคม ได้เพิ่มเครื่องฉีดอีก 2 เครื่อง ขนาด 1,000 ตัน และ 1,300 ตัน และได้เพิ่มกำลังการผลิตของกลุ่มหน้ากระจัง 8.82% และกลุ่มกันชน 12.5%
ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังได้มีการขยายกำลังการผลิตของแผนกสีในเดือนกันยายนที่ผ่านมา เป็นไลน์อัตโนมัติ ซึ่งจะแล้วเสร็จปลายพฤศจิกายน 2559 ส่งผลให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 35% เพื่อรองรับงาน OEM ซึ่งคาดว่าจะรับมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง จากก่อนหน้ามีการใช้กำลังการผลิต 72.60% ซึ่งจะทำให้ต้นทุนขายต่อหน่วยปรับตัวลดลง ส่งผลให้กำไรขั้นต้นปรับตัวสูงขึ้น
“มั่นใจว่าแนวโน้มรายได้ในปีนี้ คาดว่าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% ตามเป้าหมายที่วางไว้ อย่างไรก็ตาม ในแง่ของกำไร คาดว่าจะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากต้นทุนต่อหน่วยลดลง จากการเพิ่มกำลังการผลิต และค่าเงินบาทที่อ่อนค่า ถือเป็นตัวแปรที่สำคัญที่ช่วยผลักดันกำไรในปีนี้เติบโตอย่างโดดเด่น” นายสมพล กล่าว
สำหรับความคืบหน้าในการจัดตั้งบริษัทร่วมลงทุนกับพันธมิตรในประเทศอินเดีย ภายใต้ชื่อ ALP FPI PARTS PRIVATE LIMITED คาดว่าจะแล้วเสร็จในปลายเดือนเมษายน 2560 ซึ่งมั่นใจว่า หลังจากเดินเครื่องผลิตจะช่วยผลักดันรายได้และกำไรของบริษัทฯ เติบโตอย่างแข็งแกร่ง สอดคล้องแผนการดำเนินธุรกิจใน 5 ปีข้างหน้า เดินหน้าขยายสาขาใน 5 ประเทศทั่วโลก โดยสนใจประเทศตุรกี อินเดีย สหรัฐอเมริกา ฮังการี และเม็กซิโก ส่วนแผนการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลขนาดกำลังการผลิต 27.3 เมกะวัตต์ ร่วมกับ บริษัท อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค จำกัด (มหาชน) (ECF) และ บริษัท วิชญ์ อุตสาหกรรม จำกัด (WIT) จำนวน 3 โครงการในภาคอีสาน และภาคใต้ ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาโครงการ