ผู้จัดการรายวัน 360 - ผู้ผลิตซอสปรุงรสสายเลือดฮ่องกง “ลีกุมกี่” เดิมเกมสร้างแบรนด์ในไทยหวังชิงตลาดซอสหอยนางรม 6 พันล้านบาท กำหนดตำแหน่งทางการตลาดเป็นซอสระดับพรีเมียมคุณภาพสูง ด้วยราคาจำหน่ายสูงกว่า 30-40% ปี 60 เตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่เพิ่ม 10 เอสเคยูจากเดิม 26 เอสเคยู พร้อมยอดขายเติบโต 20-40% เพิ่มขึ้นหนึ่งเท่าตัว
น.ส.เม ลิม กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท ลีกุมกี่ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันออกลาง แอฟริกา และอินเดีย กล่าวว่ บริษัทฯ เป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายซอสและเครื่องปรุงรสภายใต้แบรนด์ “ลีกุมกี่” (LEE KUM KEE) จากฮ่องกงที่มีประวัติยาวนานถึง 128 ปี จนปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์มากกว่า 200 ชนิดวางจำหน่ายใน 5 ทวีป ครอบคลุมกว่า 100 ประเทศ โดยมีฐานการผลิต 5 แห่ง คือ ฉิง หุย ฮวงปู ฮ่องกง มาเลเซีน และลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา
ตลาดซอสและเครื่องปรุงรสในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถือว่ามีการเติบโตอย่างต่อเนื่องอันเป็นผลมาจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจและจำนวนประชากร รวมถึงพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่มีการประยุกต์มากขึ้นระหว่างอาหารท้องถิ่นกับอาหารแบบโลกตะวันตกโดยมีการนิยมใช้ซอสและเครื่องปรุงรสแบบจีนในอาหารหลากหลายประเภท
สำหรับผลิตภัณฑ์หลักของ “ลีกุมกี่” คือ ซอสหอยนางรมซึ่งมีการทำตลาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันออกลาง แอฟริกา และอินเดีย รวม 28 ประเทศสามารถทำยอดขายเป็นอันดับหนึ่งในทุกประเทศ โดยตลาดที่มีขนาดใหญ่สุด 5 ลำดับแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คือมาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ในขณะที่ประเทศไทยซึ่งทำตลาดมาเป็นเวลาประมาณ 20 ปีและถือว่าอยู่ในระดับ 10 ลำดับแรก แต่ถือว่ามีแนวโน้มการเติบโตอีกมาก เนื่องจากปัจจุบันชาวไทยมีอัตราการซื้อและบริโภคซอสหอยนางรมในภาพรวมมากเป็นลำดับสองรองจากจีน
ปัจจุบัน “ลีกุมกี่” มีผลิตภัณฑ์จำหน่ายในประเทศไทยรวม 26 เอสเคยูใน 5 กลุ่มได้แก่ ซอสหอยนางรม ซอสถั่วเหลือง ซอสพร้อมปรุงรับประทาน (Ready To Cooking : RTC) (Ready To Cooking : RTC) ซอสขนาดพกพา และ Many Other Sauces ล่าสุดมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่คือ “ซอสปรุงรสเห็ดหอมกลิ่นหอยนางรมสูตรเจ” เพื่อตอบรับเทรนด์ผู้บริโภคไทยที่เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากขึ้นและยังเหมาะกับช่วงเทศกาลถือศีลกินเจในประเทศไทย
“ในแต่ละปีที่ผ่านมาบริษัทฯ มียอดขายเติบโตประมาณ 15-20% แต่จากนโยบายของบริษัทฯ ที่ต้องการทำตลาดประเทศไทยอย่างจริงจังมากขึ้น ในปี 2560 จึงมีแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่สำหรับตลาดประเทศไทยไม่ต่ำกว่า 10 เอสเคยู พร้อมทำยอดขายเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 1 เท่าตัวเป็น 20-40%” น.ส.เม กล่าวในที่สุด
ด้าน น.ส.ดวงพร วงศ์กวีสกุล ผู้ช่วยผู้จัดการทั่วไป หน่วยธุรกิจผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภค บริหารธุรกิจคู่ค้า บริษัท ดีเคเอสเช (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะผู้กระจายสินค้า “ลีกุมกี่” อย่างเป็นทางการในประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดซอสหอยนางรมในประเทศไทยมีมูลค่าประมาณ 6 พันล้านบาท มีการเติบโตประมาณ 6% `โดยในส่วนของผู้นำตลาดยังคงเป็นแบรนด์ “สามแม่ครัว” ในขณะที่ “ลีกุมกี่” ถือเป็นผู้นำตลาดระดับพรีเมี่ยมด้วยราคาจำหน่ายที่สูงกว่า 30-40% จึงทำให้มีอัตราการเติบโตสูงกว่าตลาดคือ 17%
ปัจจุบันช่องทางจัดจำหน่ายหลักของ “ลีกุมกี่” ยังเน้นโมเดิร์นเทรดชั้นนำด้วยสัดส่วน 50% รองลงมา คือ ฟูดเซอร์วิส 35% และเทรดดิชันนัลเทรด 15% ในขณะที่กิจกรรมการตลาดจะเน้นด้านการทดลองชิมตามพื้นที่จุดขายต่างๆ โดยนับจากนี้เป็นต้นไปจะเน้นร่วมมือกับเชนร้านอาหารชั้นนำในการนำซอสปรุงรส “ลีกุมกี่” ใช้ประกอบอาหารเมนูหลัก ล่าสุดได้ร่วมมืออย่างเป็นทางการแล้วกับร้าน “ซิซซ์เลอร์”