“สมคิด” นัดถกรัฐมนตรีเศรษฐกิจ 19 ก.ย.นี้ เร่งปั๊มกำลังซื้อในประเทศ หลังส่งออกทำได้แค่ประคองตัว “สุวิทย์” เตรียมหามาตรการดันราคาสินค้าเกษตร เพื่อเพิ่มอำนาจซื้อให้แก่เกษตรกร
นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ในวันที่ 19 ก.ย. 2559 นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี จะหารือกับรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องเพื่อปรับแผนการทำงาน โดยจะเน้นการให้ความสำคัญต่อเศรษฐกิจภายในประเทศมากขึ้น เนื่องจากประเมินแล้วว่าสถานการณ์เศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นตัว ซึ่งจะทำให้การส่งออกที่เป็นหนึ่งในเครื่องจักรกระตุ้นเศรษฐกิจของไทย ยังไม่สามารถผลักดันให้ขยายตัวได้มากกว่านี้ หรือทำได้แค่ประคองตัวตามภาวะเศรษฐกิจโลก จึงต้องมีการผลักดันเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยเพิ่มกำลังซื้อในประเทศให้เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ในส่วนของกระทรวงพาณิชย์นั้นตนได้รับมอบหมายจากนางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ ให้มาดูแลงานภายในประเทศ โดยจะนำเสนอแนวทางผลักดันเศรษฐกิจในประเทศให้ประชาชนมีกำลังซื้อมากขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศดีขึ้น แต่ยังเป็นในภาพใหญ่ ขณะที่เศรษฐกิจในระดับภูมิภาค ยังไม่คึกคักเท่าที่ควร โดยสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ซึ่งจะมีการใช้มาตรการเพิ่มเติมที่จะผลักดันราคาสินค้าเกษตร โดยเฉพาะข้าวเปลือกให้ราคาปรับตัวสูงขึ้นมา เพราะผลผลิตฤดูกาลใหม่กำลังจะออกสู่ตลาดในเดือนพ.ย.นี้
“เรื่องการผลักดันราคาข้าว จะต้องหามาตรการมาดูแลเพิ่มเติม โดยในเร็วๆ นี้จะหารือกับกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับข้าวทั้งหมด ทั้งโรงสี ผู้ส่งออกข้าว และชาวนา โดยจะแยกหารือเป็นกลุ่มๆ เพื่อนำผลสรุปมาใช้เป็นแนวทางในการเพิ่มมาตรการผลักดันราคาข้าวไทย” นายสุวิทย์กล่าว
นายสุวิทย์กล่าวว่า ปัญหากำลังซื้อภายในประเทศที่ชะลอตัว เนื่องจากราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ เพราะแม้ราคาสินค้าจะทรงตัวหรือปรับลดลงจากต้นทุนราคาน้ำมันที่ลดลง แต่เมื่อเกษตรกรมีรายได้ลดลงก็ทำให้กำลังซื้อลดลงตามไปด้วย ซึ่งภาพใหญ่ของสินค้าเกษตรที่ต้องเร่งผลักดันมีทั้งข้าว มันสำปะหลัง ข้าวโพด ยางพารา เป็นต้น เพราะเชื่อว่าหากเพิ่มกำลังซื้อให้เกษตรกรกลุ่มนี้ได้ จะทำให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย และเม็ดเงินก็จะหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจภายในมากขึ้น
นอกจากนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ไทยแลนด์ 4.0 จะมีการผลักดันให้เกษตรกรเป็นนักธุรกิจมากขึ้น โดยรัฐจะสนับสนุนด้านโครงสร้างพื้นฐานในแต่ละภูมิภาค ด้วยการร่วมมือในโครงการประชารัฐในการลงทุนขนาดเล็ก เช่น จัดทำยุ้งฉาง ตลาดกลางชุมชน เพื่อผลักดันให้เกิดการค้าขายในภูมิภาคมากขึ้น ส่วนโรงสีในพื้นที่ก็อาจจะผลักดันให้โรงสีรุ่นใหม่มีการปรับเปลี่ยนธุรกิจจากโรงสีมาเป็นผู้ส่งออกข้าวด้วย จากเดิมที่ทำธุรกิจโรงสีและขายต่อให้ผู้ส่งออกอย่างเดียว
“จะเพิ่มการลงทุนในท้องถิ่นซึ่งทำโดยภาคเอกชนในรูปแบบการลงทุนขนาดเล็ก เช่น ยุ้งฉาง ตลาดกลางในชุมชน จากนั้นดึงจุดเด่นในแต่ละพื้นที่มาเชื่อมโยงกับภาคการท่องเที่ยว เพื่อให้โครงสร้างเศรษฐกิจให้ท้องถิ่นมีความเข้มแข็งและยั่งยืน ผ่านการทำงานของพาณิชย์จังหวัด โดยใช้ความร่วมมือจากประชารัฐและบิซคลับ” นายสุวิทย์กล่าว
สำหรับผู้มีรายได้น้อยที่อยู่ในเมือง เช่น กลุ่มลูกจ้างโรงงาน พ่อค้าแม่ค้าริมทาง มีแผนจะลดค่าครองชีพผ่านโครงการธงฟ้าและหนูณิชย์พาชิม โดยจะปรับแผนการทำงาน ที่เน้นการเจาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อยให้เข้าถึงสินค้าราคาถูก แต่จะไม่ให้กระทบสภาพค้าปลีกปกติ