ปตท.เปิดกลยุทธ์สร้างความเติบโตและเข้มแข็งให้กลุ่ม ปตท. โดยตั้งกองทุนร่วมลงทุน (CVC) 50-100 ล้านบาทเพื่อเข้าร่วมลงทุนในนวัตกรรม เตรียมชงบอร์ดอนุมัติการซื้อ LNG ระยะยาวอีก 3 ล้านตัน/ปีก่อนเสนอ ครม.อนุมัติต่อไป
นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากการประชุมหารือระดับฝ่ายบริหารได้กำหนดยุทธศาสตร์การดำเนินธุรกิจเพื่อสร้างความเข้มแข็งและเติบโตให้กับกลุ่ม ปตท. ท่ามกลางสภาวะราคาน้ำมันโลกซบเซา ประกอบด้วย 1. การดำเนินการที่ทำทันที (Do Now) คือการเพิ่มประสิทธิภาพและบริหารค่าใช้จ่ายให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
2. โอกาสการลงทุนต่อเนื่องในธุรกิจที่ดำเนินการอยู่ (Decide Now) โดยกลุ่ม ปตท.ได้ให้ความสำคัญต่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในประเทศ ทั้งระบบท่อ คลังก๊าซฯ และน้ำมัน ขยายธุรกิจที่มีความเชี่ยวชาญสู่ต่างประเทศ เช่น ธุรกิจสถานีบริการและค้าปลีกในรูปแบบ Life Station เป็นต้นแบบไปสู่ภูมิภาคอาเซียน รวมทั้งสนใจจะร่วมกับบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. ผลิตแอลเอ็นจีจากแหล่งปิโตรเลียมในต่างประเทศ
และ 3. การแสวงหาธุรกิจใหม่เพื่อความยั่งยืน (Shape Now) โดยกลุ่ม ปตท.จะพัฒนาธุรกิจในรูปแบบใหม่ให้สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกับแนวโน้มของสังคมโลก พฤติกรรมการใช้พลังงานในอนาคตเพื่อให้ทันการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยคำนึงถึงกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยเพื่ออนาคต เช่น นโยบาย 5+5 คลัสเตอร์ของรัฐบาล โดยจัดตั้งหน่วยงาน ExpresSo (Express Solution) เพื่อเป็นศูนย์กลางในการวิเคราะห์ คัดเลือกแนวคิดธุรกิจใหม่ๆ จัดทำเป็นโมเดลธุรกิจต้นแบบ ซึ่งหากมีความเป็นไปได้ก็จะนำมาต่อยอดขยายผลสู่การดำเนินการเชิงพาณิชย์ต่อไป
ทั้งนี้ บริษัทจะตั้งกองทุนร่วมลงทุน (Corporate Venture Capital) วงเงินเบื้องตัน 50-100 ล้านบาท เพื่อเข้าลงทุนด้านนวัตกรรม และเป็นธุรกิจใหม่ที่มีแนวโน้มที่ดี หลังจากหน่วยงาน ExpresSo (Express Solution) ได้ดำเนินการคัดเลือกธุรกิจใหม่ๆ ที่น่าลงทุน
นายเทวินทร์กล่าวต่อไปว่า ในเดือนกันยายนนี้จะเสนอคณะกรรมการบริษัทฯ อนุมัติการทำสัญญาซื้อก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ระยะยาว 10-15 ปี ประมาณ 3 ล้านตัน/ปี ก่อนที่จะเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไปรองรับความต้องการใช้ก๊าซฯ ที่เพิ่มสูงขึ้น แบ่งเป็นสัญญาซื้อขาย LNG จากเชลล์และบีพี รวม 2 ล้านตัน/ปี และอีกสัญญาเป็นรายใหม่อีก 1-1.2 ล้านตัน/ปี ซึ่งปัจจุบัน ปตท.มีสัญญาซื้อขาย LNG ระยะยาวกับกาตาร์ประมาณ 2 ล้านตัน
โดยปีนี้คาดว่าไทยจะมีการนำเข้า LNG 3 ล้านตัน และปีหน้าจะเพิ่มขึ้นเป็น 5 ล้านตัน โดยสัญญาใหม่ที่ทำขึ้นนี้จะมีรับก๊าซฯ LNG ในปีหน้าบางส่วน รวมทั้งจะมีการทำสัญญาซื้อขาย LNG ระยะสั้น 3-5 ปี โดยอยู่ระหว่างการเจรจาด้วย
นายเทวินทร์กล่าวต่อไปว่า ปตท.ได้ทบทวนแผนการลงทุนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ราคาพลังงานที่เปลี่ยนแปลงไป โดยปรับลดแผนการลงทุนปี 2559 จาก 50,839 ล้านบาท ซึ่งตั้งไว้เมื่อราคาน้ำมันอยู่ที่ 54 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ลงเหลือ 43,307 ล้านบาท เนื่องจากราคาน้ำมันปรับลดลงมาที่ระดับ 40 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยลดการลงทุนที่ไม่คุ้มทุนในสภาวะราคาน้ำมันตกต่ำ แต่ในระยะต่อไป ปตท.ได้เพิ่มเติมแผนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ท่าและคลังแอลเอ็นจี และระบบท่อส่งก๊าซฯ และน้ำมัน เป็นต้น เพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้แก่ประเทศ ทำให้แผนลงทุน 5 ปี (2559-2563) ปตท.มีวงเงินเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 300,000 ล้านบาท
สำหรับผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2/2559 บริษัทมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 24,879 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 23,746 ล้านบาท ส่งผลให้ภาพรวมงวดครึ่งปีแรกมีกำไรสุทธิรวมทั้งสิ้น 48,548 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น 4.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 46,330 ล้านบาท สาเหตุหลักจากราคาขายผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่ปรับเพิ่มขึ้น แต่ต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติที่ทยอยปรับลดลงตามราคาน้ำมันที่ลด