ไทยขึ้นแท่นลงทุนเทคโนโลยีรักษาความปลอดภัยและสมาร์ทโฮมสู่คาดการณ์ 5 ปี ตลาดสมาร์ทโฮมโตเฉลี่ย 40 เปอร์เซ็นต์ สมาร์ทซิตี้และโฮมออโตเมชันครองแชมป์หนุนการเติบโต
-เมสเซ่ แฟรงก์เฟิร์ต นิว เอร่า และเวิลด์เด็กซ์ จี.อี.ซี.เผยตลาดเทคโนโลยีด้านการรักษาความปลอดภัยหรือซีเคียวริตีเทคโนโลยี (Security Technology) ของประเทศไทยมีมูลค่าสูงสุดในอาเซียนโดยมีปัจจัยสนับสนุนจากนโยบายสมาร์ทซิตี้และการขยายโครงข่ายสาธารณูปโภคของภาครัฐ ตลอดจนการขยายการลงทุนของภาคอสังหาริมทรัพย์ โรงแรม ห้างสรรพสินค้าด้านตลาดสมาร์ทโฮม (Smart Home) คาดการณ์ 5 ปีเติบโตเฉลี่ย 40 เปอร์เซ็นต์ โดยโซลูชันด้านโฮมออโตเมชันครองแชมป์สัดส่วนสูงสุด ในขณะที่สังคมผู้สูงอายุจะผลักดันการเติบโตของผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฮมเพื่อการดูแลผู้สูงอายุเติบโตถึง 60 เปอร์เซ็นต์ และผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฮมเพื่อการรักษาความปลอดภัยจะเติบโต 45 เปอร์เซ็นต์
นายศิระพัฒน์ เกตุธาร ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท เวิลด์เด็กซ์ จี.อี.ซี. จำกัด กล่าวว่า “ในปี 2558 ตลาดกล้องวงจรปิดของไทยมีมูลค่ากว่า 115.2 ล้านเหรียญสหรัฐ (หรือกว่า 4,000 ล้านบาท) หรือเติบโตประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งนับว่าสูงที่สุดในอาเซียน โดยมีปัจจัยผลักดันจากการขยายเส้นทางรถไฟฟ้าหลายสายในกรุงเทพฯ และการพัฒนาปรับปรุงสนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิของภาครัฐซึ่งทำให้มีการติดกล้องวงจรปิดเพิ่มขึ้น และการลงทุนของภาคอสังหาริมทรัพย์ โรงแรม และห้างสรรพสินค้า ที่เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งเหตุก่อการร้ายที่เกิดขึ้นทำให้มีความกังวลและเพิ่มความเข้มงวดด้านการรักษาความปลอดภัยมากขึ้น”
ตลาดผลิตภัณฑ์ด้านการรักษาความปลอดภัยของโลกในปี 2558 มีมูลค่า 65.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ และคาดว่าจะโตถึง 105.3 พันล้านเหรียญสหรัฐภายใน 5 ปี ในขณะที่ตลาดในภูมิภาคเอเชียในปี 2558 มีมูลค่า 12 พันล้านเหรียญสหรัฐ และในอาเซียนมีมูลค่าตลาดรวม 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ
สำหรับแนวโน้มของตลาด คาดว่าจะมีการใช้เทคโนโลยีวิชวลไลเซชัน (Visualization) หรือการมองเห็นภาพ และเกิดความร่วมมือกัน (Collaboration) ของเจ้าของเทคโนโลยีต่างๆ มากขึ้นเพื่อให้เกิดสมาร์ทซิตี้และผลิตภัณฑ์ด้านการรักษาความปลอดภัยจะเป็นส่วนสำคัญระหว่างความร่วมมือดังกล่าว นอกจากนี้ การใช้กล้องวงจรปิดอัจฉริยะจะไม่เป็นแค่เพื่อการสอดส่องดูแลรักษาความปลอดภัยเท่านั้น แต่โรงแรม ห้างสรรพสินค้า และองค์กรธุรกิจต่างๆ ยังจะนำข้อมูลของลูกค้าที่บันทึกไว้ในกล้องมาประมวลผลเพื่อวางแผนการตลาดอีกด้วย
ในด้านตลาดผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฮมของประเทศไทยในปี 2559 คาดว่าจะมีมูลค่า 645 ล้านบาท และจะเพิ่มขึ้นถึง 2,500 ล้านบาทในปี 2563 หรือเติบโตเฉลี่ย 40 เปอร์เซ็นต์ต่อปี
โดยผลิตภัณฑ์โฮมออโตเมชันครองส่วนแบ่งการตลาดสูงสุดในแง่ของอัตราการเติบโตในอีก 5 ปี
พบว่าผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฮมเพื่อการดูแลผู้สูงอายุจะเติบโตสูงสุดถึง 60เปอร์เซ็นต์ และผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฮมเพื่อการรักษาความปลอดภัยจะมีอัตราการเติบโตเป็นอันดับที่สองที่ 45 เปอร์เซ็นต์
“แนวโน้มของผู้บริโภคหรือผู้อยู่อาศัยที่ต้องการติดตั้งผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฮมจะเปลี่ยนจากการซื้ออุปกรณ์ไปติดตั้งเองทีละชิ้นหรือที่เรียกว่าอุปกรณ์ DIY ไปเป็นการวางแผนเพื่อการติดตั้งระบบต่างๆ ให้ทำงานประสานกันโดยอัตโนมัติ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการรักษาความปลอดภัยสูงสุดและรัดกุมยิ่งขึ้นกว่าการติดตั้งอุปกรณ์ทีละชิ้นแยกกัน และเทรนด์ของการใช้สมาร์ทโฮมเพื่อการรักษาความปลอดภัยประกอบด้วย 5 ข้อด้วยกัน ได้แก่ การติดตั้งเพื่อการรักษาความปลอดภัย
การสอดส่องดูแลความปลอดภัยของผู้สูงอายุที่อยู่บ้านลำพัง การใช้หลอดไฟอัจฉริยะที่เป็นกล้องและลำโพงในตัว การสอดส่องดูแลความปลอดภัยของสัตว์เลี้ยง และการติดตั้ง Smart front door
เพื่อให้ผู้อยู่ในบ้านเห็นหน้าของแขกที่มารอที่ประตูหน้าบ้านโดยที่ยังไม่ต้องเดินออกไปที่ประตู” นายศิระพัฒน์กล่าวเสริม
นอกจากนี้ ยังมีแนวโน้มว่าในอนาคตผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฮมจะมีราคาถูกลงและควบคุมได้ผ่านสมาร์ทโฟน เนื่องจากการประยุกต์ใช้ Internet of Things (IoT) กับผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฮม เช่น หลอดไฟอัจฉริยะ หรือกล้องวงจรปิดที่ใช้กับที่อยู่อาศัยซึ่งจะช่วยให้ผู้บริโภคในระดับกลางก็สามารถติดตั้งอุปกรณ์สมาร์ทโฮมได้
เตรียมจัดงานสัมมนานานาชาติและแสดงเทคโนโลยี GDSF Thailand 2016 หรือ Global Digital Security & Solutions Forum และ SMAhome Thailand 2016 by Secutech
จากแนวโน้มการเติบโตของตลาดดังกล่าว เมสเซ่ แฟรงก์เฟิร์ตนิว เอร่าบิสิเนส มีเดียหนึ่งในผู้นำด้านการจัดงานแสดงสินค้านานาชาติระดับโลกและผู้จัดงาน Secutech จึงได้ร่วมกับ เวิลด์เด็กซ์ จี.อี.ซี. เตรียมจัดงานแสดงสินค้าด้านการรักษาความปลอดภัยและสมาร์ทโฮมควบคู่กับงานสัมมนานานาชาติด้านเทคโนโลยีพร้อมกันสองงาน ได้แก่ GDSF Thailand 2016 หรือ Global Digital Security & Solutions Forum และ SMAhomeThailand 2016 โดย Secutech ระหว่างวันที่ 1-3 กันยายน 2559 ณ ไบเทค บางนา
ภายในงานประกอบด้วยการจัดสัมมนา 3 งานสำคัญเพื่อสนับสนุนธุรกิจอาคารสูง โรงแรม อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจค้าปลีก การบริหารเมืองของภาครัฐ และธุรกิจสมาร์ทโฮม ในหัวข้อ
1) แนวคิดใหม่ด้านการรักษาความปลอดภัยอาคารสูงและโครงการอสังหาริมทรัพย์ 2) บริหารเมืองและชุมชนอย่างไรให้เป็นเซฟซิตี้ และ 3) การออกแบบพลังงานแสงอาทิตย์ การรักษาความปลอดภัย และสมาร์ทโฮมเพื่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยวิทยากรและมืออาชีพแถวหน้าของไทย
นอกจากนี้ยังมีการสัมมนาเชิงเทคโนโลยีโดยผู้นำเทคโนโลยีระดับโลกในประเด็นต่างๆ อาทิ แนวคิดใหม่ของการใช้ IoT ในระบบรักษาความปลอดภัย แนวโน้มการใช้วิดีโอสำหรับสมาร์ทซิตี้เทรนด์ การใช้ Big Data และเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยให้เกิดประโยชน์สูงสุด และเทคโนโลยีล่าสุดเพื่อการควบคุมบ้านอัจฉริยะ เป็นต้น
งาน GDSF Thailand 2016 และงาน SMAhome Thailand 2016 bySecutech เหมาะสำหรับนักธุรกิจด้านการรักษาความปลอดภัยและสมาร์ทโฮมนักพัฒนา ผู้ผลิต ผู้ติดตั้ง เจ้าของธุรกิจ วิศวกร สถาปนิก นักออกแบบ รวมทั้งกลุ่มผู้ใช้งานในหน่วยงานภาครัฐ นักลงทุน เจ้าของกิจการขนาดใหญ่ องค์กรคมนาคมขนส่ง โรงงานอุตสาหกรรม นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ผู้ค้าปลีก โรงแรม และธนาคาร โดยได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ได้แก่ สมาคมรักษาความปลอดภัยภาคพื้นเอเชีย สมาคมผู้ประกอบการระบบรักษาความปลอดภัยไทย และสมาคมผู้ตรวจสอบอาคาร