ทอท.จ้างที่ปรึกษาศึกษายกเครื่องระบบสายพานลำเลียงกระเป๋าและเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิดสุวรรณภูมิใหม่ทั้งหมดทั้งในอาคารปัจจุบัน และในอาคารเครื่องบินรองหลังที่ 1 ของเฟส 2 โดยเร่งสปีดสายพานเป็น 20,000 ใบ/ชม. ลดเวลารอกระเป๋าเหลือ 30-45 นาทีเพื่อเพิ่มศักยภาพแข่งขันหลังสิงคโปร์พัฒนาไปก่อนแล้ว ขณะที่เครื่อง CTX จะหยุดผลิตอีก 4 ปีหายี่ห้อใหม่ เทคโนโลยีล่าสุด สรุปใน 5 เดือนเดินหน้าประมูลได้
แหล่งข่าวจากบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. เปิดเผยว่า ขณะนี้ ทอท.ได้ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาเพื่อทำการศึกษาออกแบบระบบสายพานลำเลียงกระเป๋า (BHS) และระบบตรวจจับวัตถุระเบิด (EDS) ใหม่ เนื่องจากระบบสายพานลำเลียงกระเป๋าปัจจุบันของสนามบินสุวรรณภูมิ มีความเร็วที่ 10,000 ใบต่อชั่วโมง ซึ่งแม้จะอยู่ในมาตรฐาน โดยผู้โดยสารจะรอกระเป๋าที่ 60-90 นาที แต่เมื่อเปรียบเทียบกับสนามบินอื่นที่อยู่ในระดับเดียวกัน เช่น สนามบินของสิงคโปร์ ขณะนี้มีระบบสายพานลำเลียงกระเป๋าที่มีความเร็วมากขึ้น โดยระยะเวลารอกระเป๋าเฉลี่ยปรับจาก 30-45 นาที เป็น 30 นาทีเท่านั้น ดังนั้น สนามบินสุวรรณภูมิจำเป็นต้องปรับปรุง (upGrade)โดยเพิ่มความเร็วของระบบสายพานลำเลียงกระเป๋าจาก 10,000 ใบต่อชั่วโมงเป็น 20,000 ใบต่อชั่วโมง
พร้อมกันนี้ จะต้องปรับเปลี่ยนระบบตรวจจับวัตถุระเบิดใหม่ เนื่องจากเครื่องเดิม CTX รุ่นที่ใช้อยู่ตั้งแต่เปิดสนามบินสุวรรณภูมิจะเลิกการผลิตอะไหล่ในอีกไม่เกิน 4 ปี รวมถึงปัจจุบันเทคโนโลยีของเครื่องมีการยกระดับจาก 2D ซึ่งเป็นระบบที่สุวรรณภูมิใช้ สปีดตรวจสอบกระเป๋าได้ที่ประมาณ 400 กว่าใบต่อชั่วโมง มาเป็น 3D หรือ Hispeed อีกทั้งเพื่อให้สอดคล้องกับระบบสายพานลำเลียงด้วย โดยจะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถของสนามบินสุวรรณภูมิให้อยู่ในระดับเดียวกับสนามบินใกล้เคียง
นอกจากนี้ การที่ปรับระบบสายพานลำเลียงกระเป๋าที่อาคารผู้โดยสารหลังปัจจุบัน ทำให้การออกแบบระบบสายพานลำเลียงกระเป๋าของอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (Midfield Satellite) ในโครงการสุวรรณภูมิเฟส 2 จะต้องปรับใหม่เพื่อให้เป็นระบบเดียวกันด้วย เนื่องจากระบบสายพานลำเลียงกระเป๋าของอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1ได้มีการออกแบบไว้ก่อนที่จะทราบว่าอะไหล่ของเครื่อง CTX จะเลิกผลิต จึงยังออกแบบเป็นระบบเดิมทั้งหมด
ทั้งนี้ ที่ปรึกษาจะใช้ระยะเวลาศึกษาประเมินความเหมาะสมทั้งหมด 5 เดือน โดยจะศึกษาและออกแบบแล้วเสร็จภายในปี 2559 นี้ จากนั้นจะเข้าสู่การประมูลและดำเนินการปรับเปลี่ยนในระยะเวลา 2 ปีเนื่องจากจะต้องทยอยปรับเปลี่ยนเครื่อง CTX เดิมที่มีอยู่ 26 เครื่อง โดยไม่ให้กระทบต่อการให้บริการ พร้อมกันนี้ ระบบสายพานลำเลียงและเครื่องตรวจวัตถุระเบิดใหม่จะไม่กระทบต่อการก่อสร้างเฟส 2 เนื่องจากขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินงานในส่วนฐานราก จึงยังมีเวลาในการพิจารณาและประมูลหาผู้ติดตั้งระบบสายพาน 1 ปีเศษ
สำหรับประสิทธิภาพของระบบสายพานกระเป๋าปัจจุบันที่ 10,000 ใบต่อชั่วโมงนั้น ในแง่การรองรับจำนวนผู้โดยสาร 52 ล้านคนต่อปีในขณะนี้นั้นยังอยู่ในมาตรฐาน โดยความจุของสปีดที่ 10,000 ใบต่อชั่วโมง มีปริมาณกระเป๋าจริงที่ 7,000 ใบต่อชั่วโมง เท่ากับยังเหลือพื้นที่รับกระเป๋าได้ถึง 60 ล้านคนต่อปี แต่ระยะเวลาการรอกระเป๋าเป็นประเด็นที่กระทบต่อการให้บริการ คือที่ 60-90 นาทีนั้นสู้คู่แข่งไม่ได้ ทอท.จำเป็นต้องเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน จึงเป็นเหตุผลที่ต้องปรับเพิ่มสปีดของระบบสายพานกระเป๋า ส่วนเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิดนั้น ปัจจุบันมีเทคโนโลยีใหม่ที่มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น และสามารถตรวจสอบได้เร็วกว่าเดิมถึง 4 เท่า