นบข.เห็นชอบผลการประมูลข้าวครั้งที่ 3 ไฟเขียวขายข้าวสต๊อกรัฐให้เอกชน 23 ราย ปริมาณ 7.8 แสนตัน คิดเป็น 65.77% ของปริมาณที่นำมาเปิดประมูล ได้เงินกว่า 7 พันล้านบาท “พาณิชย์” ยันราคาขายเหมาะสม เชื่อส่งสัญญาณเชิงบวกต่อราคาข้าวสูงขึ้นแน่ ส่วนยอดรวมประมูลข้าวล่าสุดขายได้แล้ว 5.48 ล้านตัน มูลค่า 5.8 หมื่นล้านบาท
นางดวงพร รอดพยาธิ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ได้เห็นชอบการจำหน่ายข้าวสารในสต๊อกของรัฐเป็นการทั่วไป ครั้งที่ 3/2559 ที่เปิดประมูลเมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2559 ที่ผ่านมา ให้แก่ผู้ชนะการประมูล 23 ราย จำนวน 79 คลัง ปริมาณ 7.8 แสนตัน คิดเป็นร้อยละ 65.77 ของปริมาณข้าวที่เปิดประมูลทั้งหมด คิดเป็นมูลค่าเสนอซื้อ 7,013.26 ล้านบาท
ทั้งนี้ กรมฯ ได้เปิดประมูลข้าวล็อตนี้ปริมาณรวม 1.2 ล้านตัน มีผู้สนใจยื่นตรวจสอบคุณสมบัติจำนวน 51 ราย และสนใจยื่นซองเสนอซื้อจำนวน 48 ราย โดยพบว่ามีผู้เสนอราคาซื้อสูงสุดจำนวน 31 ราย ใน 118 คลัง ปริมาณข้าว 1.175 ล้านตัน มูลค่าที่เสนอซื้อประมาณ 10,046 ล้านบาท
สำหรับราคาที่เห็นชอบให้จำหน่าย ข้าวขาว 5% ประมาณ 11,050-11,500 บาทต่อตัน ปลายข้าว A1 เลิศ ประมาณ 7,019-9,200 บาทต่อตัน และข้าวท่อนหอมมะลิ ประมาณ 7,500-9,581 บาทต่อตัน ซึ่งราคาเสนอซื้อดังกล่าวนี้ผ่านเกณฑ์ราคาขั้นต่ำ (Floor Price) ตามที่คณะทำงานได้คำนวณตามหลักเกณฑ์และแนวทางที่ นบข.ได้ให้ความเห็นชอบ
“ราคาที่จำหน่ายเป็นราคาที่เหมาะสม เนื่องจากสถานการณ์ตลาดข้าวขณะนี้ทั้งใน และต่างประเทศมีความต้องการใช้ข้าวสารในสต็๊อกของรัฐเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากภัยแล้งที่ส่งผลให้ผลผลิตข้าวไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด ซึ่งราคาจำหน่ายข้าวสารในสต๊อกของรัฐครั้งนี้จะเป็นการส่งสัญญาณเชิงบวกชี้นำราคาข้าวในตลาดให้มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และจะได้เป็นผลดีต่อราคาส่งออกของข้าวไทย รวมทั้งราคาข้าวที่เกษตรกรจะได้รับ” นางดวงพรกล่าว
ส่วนการระบายข้าวโดยวิธีการเปิดประมูลภายใต้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ถึงรัฐบาลปัจจุบัน ระหว่างวันที่ 22 พ.ค. 2557 ถึง 29 พ.ค. 2559 กรมฯ ได้ดำเนินการระบายข้าวที่ นบข.ให้ความเห็นชอบแล้ว ปริมาณทั้งสิ้น 5,481,679.30 ตัน คิดเป็นมูลค่า 58,278.04 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นการเปิดประมูลเป็นการทั่วไป จำนวน 13 ครั้ง ปริมาณ 5,422,070.93 ตัน คิดเป็นมูลค่า 57,707.62 ล้านบาท และเข้าสู่อุตสาหกรรม จำนวน 3 ครั้ง ปริมาณ 258,787.88 ตัน คิดเป็นมูลค่า 1,670.13 ล้านบาท