xs
xsm
sm
md
lg

เวชสำอาง SHO ชูจุดต่างผลิตภัณฑ์ เน้นขยายตลาดจีน-เออีซี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

นายณัฐพฤทธ์ ตีระพิพัฒนะกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท บี แอนด์ เจ กรุ๊ป จำกัด
ผู้จัดการรายวัน 360 - ผลิตภัณฑ์เซรัมน้ำแร่ “SHO” สร้างความต่างด้านจุดเด่นผลิตภัณฑ์ พร้อมเน้นกลยุทธ์ Sizing และ Pricing สู้ตลาดเวชสำอางแข่งดุ เบนเป้าขยายตลาดจีนและกลุ่มประเทศ CLMV หลังพบผู้บริโภคมั่นใจผลิตภัณฑ์จากไทย มั่นใจปี 60 รายได้ต่างประเทศไม่ต่ำกว่า 15 ล้านบาท วางแผน 3 ปีขยายตลาดครบทุกประเทศใน CLMV พร้อมขึ้นแท่น 1 ใน 5 แบรนด์เวชสำอางชั้นนำของอาเซียนใน 5 ปี

นายณัฐพฤทธ์ ตีระพิพัฒนะกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท บี แอนด์ เจ กรุ๊ป จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เซรัมน้ำแร่ “SHO” (โช) เปิดเผยว่า ตลาดเครื่องสำอางในประเทศไทยในส่วนของผลิตภัณฑ์แต่งหน้า (Make Up) และบำรุงผิวหน้า (Skin Care) มีมูลค่าประมาณ 7 หมื่นล้านบาท เติบโตเฉลี่ยปีละ 5% ถือว่ามีการแข่งขันสูงทั้งเรื่องราคาและนวัตกรรม แต่ตลาดก็ยังมีช่องว่างสำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีความแตกต่างทั้งในเรื่องคุณภาพและส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ ประกอบกับคนไทยมีแนวโน้มที่จะมีปัญหาเกี่ยวกับผิวหน้ามากขึ้นอันเนื่องมาจากปัญหามลภาวะ ตลอดจนไลฟ์สไตล์ในการใช้ชีวิตประจำวันที่เร่งรีบและไม่มีเวลาดูแลสุขภาพมากนัก

บริษัทฯ จึงมีแนวคิดพัฒนาผลิตภัณฑ์เซรัม “SHO” ด้วยการเน้นความแตกต่างของส่วนผสมหลักคือน้ำแร่ธรรมชาติจากเมือง Yangpyeong ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งได้รับการยกย่องจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ว่ามีคุณภาพที่ดีมาก โดยใช้กลยุทธ์เรื่องขนาด (Sizing) และราคา (Pricing) เป็นจุดขายด้วยขนาด 20 มล. ราคา 1,290 บาท ในขณะที่ผลิตภัณฑ์เคาน์เตอร์แบรนด์ทั่วไปมีขนาด 10 มล., 15 มล., 30 มล., 50 มล. และ 100 มล. ในราคาจำหน่ายประมาณ 2 พันบาทขึ้นไป

บริษัทฯ เริ่มทำตลาดเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมาผ่านตัวแทนจำหน่ายกว่า 50 แห่งในกรุงเทพฯ และร้านค้าเครื่องสำอางและเวชสำอางต่างๆ ทั่วประเทศ ในสัดส่วน 60% และจำหน่ายผ่านเว็บไซต์ลาซาด้าและช่องทางออนไลน์ของบริษัทฯ เช่น เฟซบุ๊กและอินสตาแกรม ประมาณ 40% โดยเบื้องต้นใช้งบประมาณการตลาด 5 ล้านบาท เน้นสร้างการรับรู้ผ่านช่องทางออนไลน์เป็นหลักเพื่อให้มีการบอกต่อแบบปากต่อปากซึ่งได้ผลตอบรับเป็นอย่างดี โดยเฉพาะผู้บริโภคชาวจีนและกลุ่มประเทศอาเซียนที่มีความเชื่อมั่นในคุณภาพผลิตภัณฑ์ไทย

“บริษัทฯ จึงมีแผนเปิดตลาดต่างประเทศ โดยจะทำตลาดในรูปแบบของการแต่งตั้งบริษัทตัวแทนจำหน่ายสินค้าในแต่ละประเทศ โดยบริษัทฯ จะสนับสนุนงบประมาณและกลยุทธ์การทำตลาดให้ตัวแทนจำหน่ายเหล่านั้นตามความเหมาะสม ขณะนี้เริ่มดำเนินการอย่างเป็นทางการแล้วในประเทศจีนเมื่อช่วงต้นเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา และกำลังเจรจากับตัวแทนจำหน่ายในประเทศลาว คาดว่าจะเริ่มวางจำหน่ายสินค้าได้ภายในช่วงไตรมาส 3 จากนั้นจะขยายตลาดสู่ประเทศเวียดนาม คาดว่าจะสรุปรายละเอียดและเริ่มวางจำหน่ายภายในไตรมาส 4 ของปี”

นายณัฐพฤทธ์กล่าวด้วยว่า ในส่วนของการทำตลาดในประเทศจีนได้มีการเซ็นสัญญากับบริษัท Thailand Fangzheng Industrial Development Co.,Ltd. ของนักธุรกิจชาวจีนที่ดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าจากประเทศไทยหลายๆ ประเภท เช่น เครื่องสำอาง, อาหารสำเร็จรูป, หมอนยางพารา และอื่นๆ ซึ่งมีตัวแทนจำหน่ายในประเทศจีนมากกว่า 100 ราย พร้อมกับนำเข้าสินค้าไปจัดจำหน่ายผ่านทางเว็บไซต์ Taobao เว็บไซต์ขายสินค้าอันดับ 1 ของจีน ล่าสุดบริษัทฯ มีคำสั่งซื้อในเดือนแรกแล้วกว่า 1 ล้านบาท

“ในปี 2559 บริษัทฯ มีเป้าหมายทำยอดขายในประเทศ 1-2 ล้านบาท คาดว่าในปี 2560 ยอดขายจะเติบโตแบบก้าวกระโดดเป็น 10 ล้านบาท พร้อมเตรียมเพิ่มงบประมาณการตลาดเป็น 10 ล้านบาท โดยขณะนี้ยังไม่สามารถประเมินยอดขายจากต่างประเทศในปี 2559 เนื่องจากยังมีคำสั่งซื้ออย่างต่อเนื่อง ประกอบกับยังอยู่ในระหว่างการเจรจากับตัวแทนจำหน่ายในประเทศลาวและเวียดนามเพิ่มขึ้น แต่มั่นใจว่าในปี 2560 จะมียอดขายจากต่างประเทศไม่น้อยกว่า 15 ล้านบาท”

นายณัฐพฤทธ์กล่าวในตอนท้ายว่า ในปี 2560 บริษัทฯ มีแผนเพิ่มช่องทางจัดจำหน่ายในส่วนของโมเดิร์นเทรดผ่านร้านวัตสันและบูทส์ ขณะเดียวกันยังอยู่ในระหว่างการเจรจาเป็นพันธมิตรกับ OK Shopping เพื่อทำตลาดในกลุ่มประเทศ CLMV โดยมีแผน 3 ปีในการเปิดตัวแทนจำหน่ายครบทุกประเทศ และก้าวขึ้นสู่อันดับ 1 ใน 5 แบรนด์เวชสำอางชั้นนำของอาเซียนภายใน 5 ปี



กำลังโหลดความคิดเห็น