ผู้จัดการรายวัน 360 - “ศรีไทยซุปเปอร์แวร์” คาดกำลังซื้อในประเทศเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นในไตรมาสสอง เผยตลาดต่างประเทศยังไปได้ดี โดยเฉพาะเวียดนามผลิตไม่ทันออเดอร์จนต้องส่งกลับมาผลิตในไทยถึง 70% เตรียมลงทุนอีก 200 ล้านบาทขยายโรงงานแห่งที่ 4 ในโฮจิมินห์ หวังใช้เป็นฐานส่งออกใหม่แทนไทย พร้อมศึกษาแผนลงทุนขยายโรงงานในอินเดียอีก 4-5 แห่งแก้ปัญหาการกระจายสินค้า ก่อนผุดโรงงานในพม่าปี 61
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี 2558 บริษัทฯ มียอดขายรวม 9,951 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้ในประเทศ 78-79% และส่งออก 21-22% คาดว่าในปี 2559 จะมีอัตราการเติบโตขึ้นประมาณ 8% โดยในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมายังมีผลประกอบการไม่ดีนัก เนื่องจากปัญหาราคาวัตถุดิบตกต่ำ ประกอบกับราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ยังคงผันผวน ทำให้ผู้บริโภคยังคงชะลอการตัดสินใจซื้อ แต่คาดว่าราคาน้ำมันจะเริ่มคงที่และส่งผลให้ภาวะตลาดจะเริ่มกลับมาดีขึ้นในช่วงไตรมาสที่สอง
ในส่วนของโรงงานผลิตพลาสติกและผลิตภัณฑ์เมลามีน นอกจากในประเทศไทยแล้ว บริษัทฯ ยังมีโรงงานในประเทศจีน อินโดนีเซีย อินเดีย และเวียดนามซึ่งประสบความสำเร็จในการทำตลาดมาก โดยในปี 2558 มีรายได้ในเวียดนามประมาณ 1.5 พันล้านบาท คาดว่าปี 2559 จะเติบโตขึ้นประมาณ 18% จากปัจจุบันที่มีโรงงาน 2 แห่งในเมืองโฮจิมินห์ แบ่งเป็นโรงงานผลิตพลาสติก 1 แห่ง และโรงงานผลิตผลิตภัณฑ์เมลามีน 1 แห่ง ล่าสุดเมื่อปลายปี 2558 ได้ลงทุนเพิ่มโรงงานผลิตพลาสติกแห่งใหม่อีก 1 แห่งในเมืองฮานอย แต่ยังไม่สามารถผลิตได้ทันต่อความต้องการจนต้องสั่งผลิตจากประเทศไทยถึง 70%
นายสนั่นกล่าวอีกว่า ในปี 2559 บริษัทฯ มีแผนลงทุนในเวียดนามเพิ่มอีกประมาณ 200 ล้านบาทในการเช่าพื้นที่ประมาณ 20 ไร่เพื่อตั้งโรงงานใหม่ในเมืองโฮจิมินห์ นอกจากนี้ยังมีแผนย้ายเครื่องจักรบางส่วนจากโรงงานในไทยไปยังเวียดนามเพิ่มขึ้น เพราะมั่นใจว่าภายใน 10 ปีตลาดจะมีขนาดใหญ่มากกว่าประเทศไทยและอาจจะเป็นฐานส่งออกแห่งใหม่ในการทำตลาดกัมพูชา ฟิลิปปินส์ และอื่นๆ
“ปัจจุบันบริษัทฯ มีภาระหนี้ในประเทศเวียดนามน้อยมาก จึงมีแผนปรับนโยบายการลงทุนด้วยการใช้เงินสกุลด่งแทนเหรียญสหรัฐมากขึ้น พร้อมเลื่อนกำหนดการนำบริษัทฯ เข้าตลาดหลักทรัพย์เวียดนามเป็นปี 2561”
นายสนั่นยังกล่าวถึงตลาดผลิตภัณฑ์เมลามีนประเทศอินเดียว่า หลังจากที่บริษัทฯ เริ่มทำตลาดในระยะแรกและต้องประสบกับภาษีนำเข้าสินค้าสำเร็จรูปที่สูงถึง 28% อันเป็นผลจากการใช้มาตรการ Anti Dumping เพื่อตอบโต้สินค้าราคาถูกจากประเทศจีน เวียดนาม และไทย จนต้องตัดสินใจลงทุนตั้งโรงงานเมื่อประมาณ 2 ปีที่ผ่านมา โดยในเฟสแรกติดตั้งเครื่องจักรประมาณ 30 เครื่อง และเพิ่มเป็น 40 เครื่องในเฟส 2 คาดว่าในสิ้นปี 2559 จะติดตั้งได้ครบ 112 เครื่องตามแผนในเฟสสาม
“ผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ได้รับการตอบรับที่ดีมากในประเทศอินเดียด้วยยอดขายประมาณ 15-16% จากตลาดรวม ในระหว่างนี้จึงกำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนก่อสร้างโรงงานเพิ่มอีก 4-5 แห่งในรัฐต่างๆ เพื่อลดปัญหาด้านการขนส่งและกระจายสินค้าซึ่งยังคงเป็นอุปสรรคในการขยายตลาด”
นายสนั่นกล่าวในตอนท้ายด้วยว่า บริษัทฯ ยังมีการศึกษาตลาดในประเทศพม่า โดยกำลังรอนโยบายทางการเมืองและเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งหากมีความชัดเจนเมื่อใดก็พร้อมจะเข้าไปลงทุนทันที โดยคาดว่าจะเห็นผลได้ภายในปี 2561