xs
xsm
sm
md
lg

ตลาดเสื้อผ้านิ่ง “DA+PP” แตกไลน์ ชิง “ยูนิฟอร์ม-สแน็กโปรเจกต์” 1.6 หมื่นล้าน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

นางสาวศิริทิพย์ ศรีไพศาล ผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการผลิตภัณฑ์ “DA+PP”
ผู้จัดการรายวัน360 - “ดีเอ+พีพี” แตกไลน์ ตลาดเสื้อผ้าทรงๆ ตั้งแผนกใหม่ นิวบิสิเนสรับรุกตลาดยูนิฟอร์มและสแน็กโปรเจกต์ ชิงตลาด 1.6 หมื่นล้านบาทแบบครบวงจร ตั้งเป้าปีนี้ลูกค้า 10 ราย พร้อมขยายชอปในไทยอีก 3 สาขา ดันรายได้รวมแบรนด์ดีเอ+พีพี ปีนี้โต 15% จาก 150 ล้านบาทปีที่แล้ว

นางสาวศิริทิพย์ ศรีไพศาล ผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการผลิตภัณฑ์ “DA+PP” (ดีเอ+พีพี) ในเครือ บริษัท แดพเพอร์ (DAPPER) ประเทศไทย จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเสื้อผ้า เปิดเผยว่า ตลาดชุดยูนิฟอร์มถือเป็นตลาดที่ใหญ่ด้วยมูลค่ามากกว่า 1.6 หมื่นล้านบาทโดยประมาณ และเป็นตลาดที่มีการเติบโตต่อเนื่อง เพราะแต่ละองค์กรก็ต้องการสร้างเอกลักษณ์ให้กับบริษัทผ่านทางยูนิฟอร์มส่วนหนึ่ง แต่ส่วนใหญ่เป็นชุดที่มาจากโรงงานผลิตเป็นหลัก ซึ่งส่วนใหญ่แบบและคุณภาพการตัดเย็บไม่เป็นที่ประสงค์ หรือตอบโจทย์ลูกค้าได้ และยังไม่มีบริษัท หรือดีไซเนอร์ รวมถึงผู้ผลิตเสื้อผ้าแบรนด์ใดที่เข้าสู่ธุรกิจนี้อย่างจริงจังและชัดเจน

“DA+PP” จึงเห็นช่องว่างที่จะเข้าสู่ตลาดนี้ด้วยการตั้งแผนกธุรกิจใหม่ขึ้นมาเมื่อปลายปีที่แล้ว อีกทั้งเป็นการขยายไลน์ธุรกิจให้กว้างขึ้นด้วยการรับทำยูนิฟอร์มแบบครบวงจรตั้งแต่ออกแบบ ตัดเย็บ จนถึงผลิต แทนที่จะเป็นการสร้างแบรนด์เสื้อผ้าใหม่ขึ้นมา แล้วมาแข่งขันด้านราคาในท้องตลาด ซึ่งตลาดเสื้อผ้าขณะนี้ก็ไม่ได้เติบโตเท่าที่ควร ซึ่งปกติแล้วแบรนด์เสื้อผ้าเมื่อครบ 5-7 ปีก็ต้องมีอะไรที่ใหม่ๆ เพราะอิ่มตัวแล้ว ขณะที่ แบรนด์“DA+PP” เกิดมา 5 ปีพอดีและเป็นแบรนด์ลูกของแบรนด์แดพเพอร์ที่มีอายุกว่า 35 ปีแล้ว

นอกจากนี้ยังจะใช้กลยุทธ์แคมเปญสแน็กโปรเจกต์ หรือการร่วมมือกับดีไซเนอร์และแบรนด์สินค้าต่างๆ เพื่อออกคอลเลกชันเสื้อผ้าใหม่ๆ และสินค้าใหม่เป็นการขยายไลน์ธุรกิจให้กับคู่ค้าด้วย โดย “DA+PP” เป็นผู้ออกแบบและผลิต เช่น ร่วมกับแบรนด์นาฬิกา Tacs จากญี่ปุ่น, แว่นตากันแดด Redele จากอิตาลี, กระเป๋า Standard Hunter จากฮ่องกง เป็นต้น

“เราจะทำแบบครบวงจรตั้งแต่การให้ไอเดีย ออกแบบ หาแหล่งวัตถุดิบ วัดตัว ตัดเย็บ การจัดส่ง เพื่อหาจุดที่เหมาะสมของยูนิฟอร์ม เพราะเราอยู่ในวงการนี้อยู่แล้ว รวมถึงในส่วนที่เป็นสแน็กโปรเจกต์ ก็จะทำถึงขั้นการกำหนดราคาขายให้ด้วยว่าควรจะขายเท่าไร เพราะเราคุมต้นทุนได้จะต่ำกว่าที่เป็นโรงงานผลิตยูนิฟอร์มกว่า 40% โดยเฉลี่ย แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณการสั่งตัดด้วย”

บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายกับธุรกิจใหม่นี้ว่าจะมีลูกค้าประมาณ 10 รายภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งขณะนี้มีลูกค้าที่สรุปและทำงานแล้ว 5 ราย เช่น เคเอฟซี, ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, กาแฟดอยตุง, ผลิตภัณฑ์ ELEPH และไลน์วิลเลจแบงคอก ซึ่งเป็นการทำแบบสแน็กโปรเจกต์ และยังอยู่ระหว่างการเจรจากับอีกอย่างน้อย 5 ราย ทั้งในธุรกิจธนาคาร โรงแรม และเอสเอ็มอี โดยจะมีทั้งการทำยูนิฟอร์มและสแน็กโปรเจกต์ ซึ่งออเดอร์ขั้นต่ำต้องสั่งตัด 300 ชุดขึ้นไป โดยคาดหวังว่าจะมีรายได้จากธุรกิจใหม่นี้ประมาณ 20% จากรายได้รวมของแบรนด์ “DA+PP” ที่มีประมาณ 150 ล้านบาทเมื่อปี 2558 โดยรายได้ของแบรนด์ “DA+PP” เป็นสัดส่วนประมาณ 18% จากเครือแดพเพอร์ทั้งหมด

นางสาวศิริทิพย์กล่าวด้วยว่า ในส่วนของแบรนด์ “DA+PP” ยังมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ปีนี้จะเปิดชอปในไทยอีก 2-3 แห่ง คือ โชว์ดีซีพระรามเก้า, เทอร์มินัล 21 โคราช และบลูพอร์ตที่หัวหิน งบลงทุนรวม 15 ล้านบาท จากปัจจุบันมีสาขารวม 17 แห่ง ส่วนต่างประเทศเปิดเพิ่มอีก 1 แห่งที่อินโดนีเซีย โดยมีแผนเปิดที่เวียดนามในช่วงปลายปี จากปัจจุบันมี 5 แห่งที่ เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย จีน และไต้หวัน

นอกจากนั้นยังมีช่องทางอี-คอมเมิร์ซที่เพิ่งเริ่มต้นปีนี้ คาดหวังสัดส่วนยอดขายช่องทางนี้ 3% ในปีนี้ และเป้าหมายเป็นสัดส่วน 10% ในอีก 3-5 ปีจากนี้ ขณะที่รายได้จากต่างประเทศของแบรนด์ “DA+PP” มีประมาณ 3% โดยปีนี้ตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 5% ขณะที่ปีที่แล้วเติบโต 7% แต่หากรวมธุรกิจใหม่แล้วจะมีการเติบโต 15%



กำลังโหลดความคิดเห็น